Belphegor เป็นตัวแทนของ ความเกียจคร้าน มักถูกแสดงภาพโดยการงีบหลับในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานของพระ เมื่ออยู่ในภาวะเกียจคร้าน ความไม่สนใจในหน้าที่ก็ตามมา สัตว์ที่เป็นตัวแทนของความเกียจคร้านคือ "ลา" เนื่องจากเป็นสัตว์ที่ทั้งขี้เกียจและเคลื่อนไหวเชื่องช้า โธมัส อควินัส กล่าวว่า บาปทั้งหมดที่เกี่ยวกับความเพิกเฉยมาจากความเกียจคร้านทั้งหมด
- สัญลักษณ์ของเกียจคร้ายคือ แพะ สีประจำบาปคือ สีคราม
- บทลงโทษของผู้เกียจคร้านคือการถูกโยนลงไปในบ่องูพิษ
- ศีลธรรมที่ช่วยกำจัดเกียจคร้านคือ ความกระตือรือร้น ความทะเยอทะยาน
เบลเฟกอร์ หรือ เบลฟีเกอร์ (Belphegor) ชื่อที่คุ้นหูกันดี Baal (บาร์ล หรือ บา-อัล) ซึ่งปรากฏในนวนิยาย หรือ กวีหลายๆ เรื่อง เกมส์หลายๆ เกมส์ และวงค์ร๊อคบูชาซาตาน ตามชื่อของมัน Belphegor ซึ่งก็คือ Baal จากภูเขา Phogor เป็นผู้ที่ได้ปกครองภูเขา Phogor และได้รับการบูชา ชาวบ้านจะต้องนำเครื่องเซ่นจากผลผลิตมาถวาย ซึ่งมีปรากฏในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล จ้าวแห่งความไร้ศีลธรรม เป็นตัวแทนของความขี้เกียจ ไม่ทำการทำงาน ไม่ทำหน้าที่รับผิดชอบ สัปเพร่า ทำงานขาดตกบกพร่อง บาปนี้ ปรากฏต่อสิ่งมีชีวิตที่มีสติทุกชนิด
เบลเฟกอร์ ก็มีอดีตที่เคยเป็นเทวฑูต มีหน้าที่ในการจัดตำแหน่ง ในนรก เบลเฟกอร์ เป็นปีศาจนักประดิษฐ์ที่ชาญฉลาด และการค้นพบสิ่งของแปลกๆ มักจะปราฏกตัวต่อหน้าคนที่ชอบโกง และชั่วร้าย ซึ่งมันจะให้สิ่งประดิษฐ์ที่พิศดารแก่คนผู้นั้น เมื่อปรากฏร่าง มันมักจะออกมาในรูปของหญิงสาว หรือไม่ก็ปรากฏในร่างของปีศาจเครายาวปากกว้าง มีเขาและเล็บยาว มันชอบที่ยั่วยวนผู้ชายให้หลงไหลในกามรส อีกชื่อหนึ่งของมันคือ จอมเปิดโปง ซึ่งก็คือ ถ้าที่ใหนมีความลับ มันจะไปเปิดโปงให้คนเค้ารู้กันทั่ว และส่วนมากจะไม่ค่อยดีนัก และอาจจะเพราะเหตุนี้ เมื่อมันปรากฏตัว มันจึงมักจะไม่ใส่เสื้อผ้า (ว้าย...โป๊)
วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ลีเวียร์ธาณ Leviathan (Envy = ความริษยา)
จอมปีศาจแห่งริษยา งูยักษ์ ลีเวียร์ธาณ ถูกกล่าวถึงทั้งในคัมภีร์ยิวและไบเบิ้ล ว่าเป็นสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ มีหลายหัว มีฟันแหลมคมเหมือนจระเข้ มีดวงตาดั่งขนตาของตะวัน (หมายถึงมันโผล่ตาขึ้นมาเหนือน้ำเหมือนที่จระเข้ทำเวลาล่าเหยื่อ ตามันจะโผล่พ้นน้ำมาเล็กน้อย เหมือนพระอาทิตย์โผล่พ้นเหลี่ยมเขาในตอนเช้า) บางครั้งมันก็ถูกกล่าวว่าเป็นพลังแห่งความสับสนวุ่นวาย เมื่อครั้งสร้างโลก คัมภีร์ปฐมกาลกล่าวว่า "ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินแผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น" ผืนน้ำนั่นแหละคือความสับสนวุ่นวาย และก็คือลีเวียร์ธาณ
ตาม คติตะวันตก มหาบาปแต่ละอย่างจะมีสัญลักษณ์ สีประจำ มีโทษทัณฑ์ในนรก และความดีงามด้านตรงข้าม สำหรับความริษยานั้น มีสัญลักษณ์เป็นแน่นอนครับ "งู" หรือบางครั้งก็เป็นสุนัข มีสีประจำเป็นสีเขียว เมื่อตกนรกจะต้องถูกกดลงในน้ำที่เย็นเป็นน้ำแข็ง และธรรมด้านตรงข้ามของความริษยาคือ ความเมตตา (Kindness)
ตาม คติตะวันตก มหาบาปแต่ละอย่างจะมีสัญลักษณ์ สีประจำ มีโทษทัณฑ์ในนรก และความดีงามด้านตรงข้าม สำหรับความริษยานั้น มีสัญลักษณ์เป็นแน่นอนครับ "งู" หรือบางครั้งก็เป็นสุนัข มีสีประจำเป็นสีเขียว เมื่อตกนรกจะต้องถูกกดลงในน้ำที่เย็นเป็นน้ำแข็ง และธรรมด้านตรงข้ามของความริษยาคือ ความเมตตา (Kindness)
แอสโมดีอุส Asmodius (LUST = ตัณหาราคะ)
ปีศาจตนนี้มีชื่ออื่นที่เค้าเรียกกันเพียบ...ไม่ว่าจเป็น
Ashmeday, Asmodius, Asmodee, Asmoday, Hasmoday, Sydoney, Chammaday, Ashmedai, Sidonay, Asmodai, Asmadai, Chashmodai, shma
คาดว่า ชื่อน่าจะมาจาก ashma daeva ปีศาจตนนี้เป็นปีศาจที่มาจากแถบเปอร์เซีย แทนที่จะมาจากฮิบรูแบบปีศาจส่วนใหญ่ แต่ว่ามันเป็นปีศาจที่มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อของชาวฮิบรูเป็นอย่างมาก และถูกจัดว่าเป็น"ปีศาจแห่งความชั่วร้าย"
ใน Encyclopedia of Religions บอกไว้ว่า แอสโมดีอุส เป็นปีศาจที่เก่าแก่ และมีอีกนามว่า Ashmedai เป็นปีศาจผู้มาจาก Zend Aeshmadeva ดินแดนแห่งราคะ (The Book of Tobit 3:Cool)
ในตำนานบอกไว้ว่า เป็นความผิดของเจ้าปีศาจ Ashmedai นี้แหละที่มอมเหล้าโนอา และเป็นเจ้าตัวนี้แหละ ที่เป็นคนสิงสาวน้อยซาราห์ และถูกมหาเทพราฟาเอลขับไล้ และถูกขับไล้ไปยังดินแดนทางเหนือของอียิปต์
ในตำรา Demonology บางเล่มบอกไว้ว่ามันเป็นตัวควบคุมบ่อนพนันทั้งหลาย
ผู้ที่จะสามารถเรียกจอมปีศาจตนนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจมาก และต้องใส่หมวกอาคม เพื่อป้องกันไม่ให่ถูกมันสะกดจิตเข้า ไม่งั้นจะโดนมันหลอกเอาได้
Barrett แห่ง The Magus II ได้อธิบายแอสโมดีอุส ให้เป็น ภาชนะแห่งความโกรธเกรียว
ตำราบางเล่มกล่าวเอาไว้ว่า มันเป็นลูกคนแรกของ อดัม และ ลิลิธ ซึ่งก็คือเป็นพี่ชายต่างบิดาของเหล่า ซักคิวบัส และ อินคิวบัส นั้นเอง
แต่ในตำรา The Book of the Sacred Magic of Abra-Merlin the Mage กล่าวเอาไว้ว่า มันเป็นทายาทของเผ่า Tubal ที่เก่าแก และมีน้องสาวชื่อว่า Naamah
ตำนานของชาวโซโลม่อน แอมโมดีอุส เป็นตัวแทนของ "ซาตาน" แต่ว่า มันมีเครดิด ในการริเริมการสร้าง ม้าหมุน ดนตรี การเต่นรำ การละคร และพวกแฟชั่น นำสมัย (เกี่ยวกันได้ไงหว่า)
Asmodeus เป็นปีศาจแห่งราคะและตันหาทางเพศ มันจะใช้ความพยายามทุกวิธีทางที่จะให้มนุษย์ลุ้มหลงในประเวณี และย่ำยีผู้อื่น แต่ทว่าจะขัดขวางทุกวิธีทาง กับคนที่ต้องการมีลูก เมื่อมันปรากฏต่อมวล มนุษย์ มันจะมีรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาดสามหัว ขี่มังกร และมีหอกเป็นอาวุธ หัวทั้งสามของมันเป็น วัว แพะ และคน เพราะว่า สัวต์พวกนี้ถือว่าเป็นสัตว์ที่ลุ่มหลงในตัณหา เท้าของมัน ถ้าคนจะสังเกตุ จะเป็นเท้าของไก่
ในคัมภีร์กฏหมายของยิว บอกว่ามันเป็น ผู้ส่งสารแห่งพระเป็นเจ้า ซึ่งก็คือเทวดา นั้นเอง แต่มันเป็นคู่ปรับของโซโลม่อน และ ผู้ปกครองทางใต้ ด้วยปีศาจ 66 กองทัพ เป็นของมัน เลยถูกจัดให้เป็นปีศาจ และบางตำราไปไกลถึงจัดให้มันเป็นงูที่หลอกลวงอีฟ
จะดีหรือร้าย เทวดาหรือปีศาจ ก็แล้วแต่ Ashmedai ถูกจัดไว้ว่าเป็นปีศาจที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และถูกจัดให้เป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย
ในบ้างคัมภีร์บอกไว้ว่า Asmadai ถูก Uriel และ Raphael กำจัดไปพร้อมกันปีศาจอีกตนชื่อว่า Adramalec
Asmoday เป็น เทวฑูตตกสวรรค์ที่มีปีกและบินไปมาได้ พร้อมทั้งยังรู้อนาคต อ้างอิงจาก Budge, Amulets และ Talismans Asmoday เป็นผู้สอน คณิตศาสตร์ ให้แก่มนุษย์ และสามารถหายตัวได้ ปกครองปีศาจ ทั้ง 72 กองทัพ และ เมื่อถูกเรียกมาจากขุมนรก มันจะมีรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาด สามหัว (วัว แพะ คน)
Asmodeus ในตำนานของชาวเปอร์เซีย เค้าเป็น หนึ่งใน 7 เทวทูต
Ashmeday, Asmodius, Asmodee, Asmoday, Hasmoday, Sydoney, Chammaday, Ashmedai, Sidonay, Asmodai, Asmadai, Chashmodai, shma
คาดว่า ชื่อน่าจะมาจาก ashma daeva ปีศาจตนนี้เป็นปีศาจที่มาจากแถบเปอร์เซีย แทนที่จะมาจากฮิบรูแบบปีศาจส่วนใหญ่ แต่ว่ามันเป็นปีศาจที่มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อของชาวฮิบรูเป็นอย่างมาก และถูกจัดว่าเป็น"ปีศาจแห่งความชั่วร้าย"
ใน Encyclopedia of Religions บอกไว้ว่า แอสโมดีอุส เป็นปีศาจที่เก่าแก่ และมีอีกนามว่า Ashmedai เป็นปีศาจผู้มาจาก Zend Aeshmadeva ดินแดนแห่งราคะ (The Book of Tobit 3:Cool)
ในตำนานบอกไว้ว่า เป็นความผิดของเจ้าปีศาจ Ashmedai นี้แหละที่มอมเหล้าโนอา และเป็นเจ้าตัวนี้แหละ ที่เป็นคนสิงสาวน้อยซาราห์ และถูกมหาเทพราฟาเอลขับไล้ และถูกขับไล้ไปยังดินแดนทางเหนือของอียิปต์
ในตำรา Demonology บางเล่มบอกไว้ว่ามันเป็นตัวควบคุมบ่อนพนันทั้งหลาย
ผู้ที่จะสามารถเรียกจอมปีศาจตนนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจมาก และต้องใส่หมวกอาคม เพื่อป้องกันไม่ให่ถูกมันสะกดจิตเข้า ไม่งั้นจะโดนมันหลอกเอาได้
Barrett แห่ง The Magus II ได้อธิบายแอสโมดีอุส ให้เป็น ภาชนะแห่งความโกรธเกรียว
ตำราบางเล่มกล่าวเอาไว้ว่า มันเป็นลูกคนแรกของ อดัม และ ลิลิธ ซึ่งก็คือเป็นพี่ชายต่างบิดาของเหล่า ซักคิวบัส และ อินคิวบัส นั้นเอง
แต่ในตำรา The Book of the Sacred Magic of Abra-Merlin the Mage กล่าวเอาไว้ว่า มันเป็นทายาทของเผ่า Tubal ที่เก่าแก และมีน้องสาวชื่อว่า Naamah
ตำนานของชาวโซโลม่อน แอมโมดีอุส เป็นตัวแทนของ "ซาตาน" แต่ว่า มันมีเครดิด ในการริเริมการสร้าง ม้าหมุน ดนตรี การเต่นรำ การละคร และพวกแฟชั่น นำสมัย (เกี่ยวกันได้ไงหว่า)
Asmodeus เป็นปีศาจแห่งราคะและตันหาทางเพศ มันจะใช้ความพยายามทุกวิธีทางที่จะให้มนุษย์ลุ้มหลงในประเวณี และย่ำยีผู้อื่น แต่ทว่าจะขัดขวางทุกวิธีทาง กับคนที่ต้องการมีลูก เมื่อมันปรากฏต่อมวล มนุษย์ มันจะมีรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาดสามหัว ขี่มังกร และมีหอกเป็นอาวุธ หัวทั้งสามของมันเป็น วัว แพะ และคน เพราะว่า สัวต์พวกนี้ถือว่าเป็นสัตว์ที่ลุ่มหลงในตัณหา เท้าของมัน ถ้าคนจะสังเกตุ จะเป็นเท้าของไก่
ในคัมภีร์กฏหมายของยิว บอกว่ามันเป็น ผู้ส่งสารแห่งพระเป็นเจ้า ซึ่งก็คือเทวดา นั้นเอง แต่มันเป็นคู่ปรับของโซโลม่อน และ ผู้ปกครองทางใต้ ด้วยปีศาจ 66 กองทัพ เป็นของมัน เลยถูกจัดให้เป็นปีศาจ และบางตำราไปไกลถึงจัดให้มันเป็นงูที่หลอกลวงอีฟ
จะดีหรือร้าย เทวดาหรือปีศาจ ก็แล้วแต่ Ashmedai ถูกจัดไว้ว่าเป็นปีศาจที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และถูกจัดให้เป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย
ในบ้างคัมภีร์บอกไว้ว่า Asmadai ถูก Uriel และ Raphael กำจัดไปพร้อมกันปีศาจอีกตนชื่อว่า Adramalec
Asmoday เป็น เทวฑูตตกสวรรค์ที่มีปีกและบินไปมาได้ พร้อมทั้งยังรู้อนาคต อ้างอิงจาก Budge, Amulets และ Talismans Asmoday เป็นผู้สอน คณิตศาสตร์ ให้แก่มนุษย์ และสามารถหายตัวได้ ปกครองปีศาจ ทั้ง 72 กองทัพ และ เมื่อถูกเรียกมาจากขุมนรก มันจะมีรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาด สามหัว (วัว แพะ คน)
Asmodeus ในตำนานของชาวเปอร์เซีย เค้าเป็น หนึ่งใน 7 เทวทูต
เบลเซบับ Beelzebub (Gluttony = ความตะกละ)
ชื่อของ เบลเซบับ หรือ เบเอลเซบูล (Beelzebul) ปรากฏในคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ ว่าเป็นผู้ปกครองปีศาจ หรือเจ้าชายแห่งมวลปีศาจ พวกชาวฟารีสได้กล่าวว่า พระเยซู ใช้พลังอำนาจของเบลเซบับในการรักษาผู้คน แต่พระเยซูก็ได้ตรัสกับพวกเขาว่า "ถ้าหากข้าใช้พลังของซาตาน ขับไล่ซาตาน เมื่อนั้นคือตอนที่มันเป็นศัตรูกับตัวเอง หากข้าใช้พลังของเบลเซบับ มีหรือที่พ่อจะไล่ลูกตัวเองออกจากบ้าน? แต่หากข้าใช้พลังจากพลังของพระเป็นเจ้า เมื่อนั้น อาณาจักรแห่งพระเจ้าจะอยู่กับตัวท่าน" (อ่านแล้ว งง เนอะ ^_^" )
ในมาระโก 3:22 มีพวกธรรมจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มได้กล่าวว่าพระองค์ว่ามีพลังของเบลเซบับ เช่นกัน พระองค์จึงตรัสเป็นความโดยย่อได้ว่า "ซาตานจะขับซาตานให้ออกได้อย่างไร ถ้าอาณาจักรใดแตกแยกก็อยู่ไม่ได้ หากต่อสู้กันเองก็จะไม่มีอะไรเหลือ ผู้ใดกล่าวหมิ่นประมาทพระวิญญาณอันบริสุทธิ์จะไม่ได้รับอภัยโทษจะได้รับแต่ ความพินาศย่อยยับ" และกล่าวแก่พระสาวกว่า ผู้ที่นับถือพระองค์ที่รออยู่ข้างนอกนั้น ก็คือมารดาและพี่น้องของพระองค์ เพราะพวกเขาเหล่านั้นเคารพในตัวพระเจ้า
เดิมที เบลเซบับ เป็นเทวทูตที่คอยทำหน้าที่สอนมนุษย์ให้ใช้สิ่งของให้เป็นประโยชน์ รู้จักใช้สอยสิ่งของและพิถีพิถันในการเลือกอาหารการกิน แต่แล้วก็มีเหตุให้ถูกขับจากสวรรค์ เจ้าซาตานก็ได้มาเชิญชวนให้ไปเป็นพวก เมื่อเบลเซบับมาอยู่ในนรกก็ได้รู้วิธีล่อลวงจิตใจมนุษย์ เมื่อเบลเซบับถูกเรียกโดยเหล่าผู้บูชาตนแล้ว มักจะปรากฏในรูปของ "แมลงวัน" และทุกที่ที่มันไปก็จะมีฝูงแมลงวันบินตามไปด้วย ทำให้เมื่อบินไปที่ไหนก็ทำให้เกิดโรคร้าย เพราะในความเป็นจริงแมลงวันก็เป็นพาหะนำโรคร้ายต่างๆ อยู่แล้ว เช่น อหิวาตกโรค โรคบิด ไข้รากสาด เป็นต้น การเป็นพาหะนำโรคของแมลงวันจึงทำให้เกิดตำนานความเชื่อเกี่ยวกับ เบลเซบับ ขึ้น
เบลเซบับ มีความแตกต่างจาก ซาตาน เพราะพลังอำนาจของเบลเซบับไม่ได้มาจากการให้ของซาตาน เรียกได้ว่าเบลเซบับปกครองนรกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละส่วนกับของซาตาน ภายหลังกระแสของซาตานดังกว่า ผู้คนจึงกล่าวว่าซาตานเป็นนายของเบลเซบับไปซะงั้น
ในคัมภีร์ Gospel of Nicodemus ได้กล่าวถึงการเยือนนรกของพระเยซูเป็นเวลา 3 วันนั้น ได้ให้อำนาจปกครองนรกแก่เบลเซบับและให้มีอำนาจเหนือซาตาน (เป็นการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการโดยพระคริสต์) เพื่อแลกกับการยอมรับในตัวพระองค์ เนื่องจากซาตานนั้นเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้า ไม่ยอมรับในตัวพระองค์อย่างแน่นอน และท่านยังมอบหมายให้พาตัวอดัมและนักบุญคนอื่นๆ ที่ถูกกักขังอยู่ในนรกกลับสวรรค์ด้วย (จึงมีผู้กล่าวว่าเบลเซบับยอมรับใช้พระเจ้าเพื่อขอให้พระองค์ผ่อนโทษเหมือน กับแอสโมดิวส์ แต่เบลเซบับเป็นปีศาจซุกซน เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง กลับกลอก จะเอาแน่ก็ไม่ได้ ดีร้ายเท่ากัน)
บางครั้ง เบลเซบับก็ปรากฏอยู่ในรูปของวัวยักษ์ หรือแพะตัวผู้ที่มีหางยาว เมื่อโกรธก็จะพ่นไฟออกมาทางปาก
คำว่า "เบลเซบับ" นอกจากเป็น "จ้าวแห่งแมลงวัน" แล้ว ยังมีอีกชื่อหนึ่ง ก็คือเป็น "จอมทำลายล้าง"
เบลเซบับในความเชื่อของชาวเพเก้น เชื่อกันว่าผู้ยิ่งใหญ่หรือจ้าวแห่งนรกมีอยู่ด้วยกัย 3 ตน คือ ลูซิเฟอร์ เบลเซบับ และแอสทารอส เชื่อกันว่าทั้งสามตนต้องการปกครองผืนโลกาปฐพีทั้งใบ โดยลูซิเฟอร์จะปกครองดินแดนทางเหนือและตะวันออก (หรือยูเรเซีย) เพราะเต็มไปด้วยมนุษย์ที่หยิ่งยโสเหมือนมัน เบลเซบับจะปกครองดินแดนทางใต้ (แอฟริกากับแอนตาร์กติกา) เพราะว่าเหมาะแก่การฟักตัวของโรคร้าย และแอสทารอสจะปกครองดินแดนทางตะวันตก (อเมริกาเหนือและใต้) เพราะเต็มไปด้วยมนุษย์ที่บ้าอำนาจเหมือนมัน ซึ่งแตกต่างจากซาตานที่ต้องการปกครองสวรรค์และตั้งตนเป็นพระเจ้า
เบลเซบับเป็นปีศาจประจำบาปตะกละ เนื่องจากเป็นปีศาจที่มีความตะกละอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กินไม่หยุดหย่อนและเลือกแต่อาหารดีๆ กินเท่าไรก็ไม่หมดความหิวกระหาย เป็นนิสัยที่น่ารังเกียจมากๆ และหากมนุษย์คนใดถูกเบลเซบับสิงก็จะมอบชีวิตให้แก่มันด้วยการกินเท่านั้น
ในมาระโก 3:22 มีพวกธรรมจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มได้กล่าวว่าพระองค์ว่ามีพลังของเบลเซบับ เช่นกัน พระองค์จึงตรัสเป็นความโดยย่อได้ว่า "ซาตานจะขับซาตานให้ออกได้อย่างไร ถ้าอาณาจักรใดแตกแยกก็อยู่ไม่ได้ หากต่อสู้กันเองก็จะไม่มีอะไรเหลือ ผู้ใดกล่าวหมิ่นประมาทพระวิญญาณอันบริสุทธิ์จะไม่ได้รับอภัยโทษจะได้รับแต่ ความพินาศย่อยยับ" และกล่าวแก่พระสาวกว่า ผู้ที่นับถือพระองค์ที่รออยู่ข้างนอกนั้น ก็คือมารดาและพี่น้องของพระองค์ เพราะพวกเขาเหล่านั้นเคารพในตัวพระเจ้า
เดิมที เบลเซบับ เป็นเทวทูตที่คอยทำหน้าที่สอนมนุษย์ให้ใช้สิ่งของให้เป็นประโยชน์ รู้จักใช้สอยสิ่งของและพิถีพิถันในการเลือกอาหารการกิน แต่แล้วก็มีเหตุให้ถูกขับจากสวรรค์ เจ้าซาตานก็ได้มาเชิญชวนให้ไปเป็นพวก เมื่อเบลเซบับมาอยู่ในนรกก็ได้รู้วิธีล่อลวงจิตใจมนุษย์ เมื่อเบลเซบับถูกเรียกโดยเหล่าผู้บูชาตนแล้ว มักจะปรากฏในรูปของ "แมลงวัน" และทุกที่ที่มันไปก็จะมีฝูงแมลงวันบินตามไปด้วย ทำให้เมื่อบินไปที่ไหนก็ทำให้เกิดโรคร้าย เพราะในความเป็นจริงแมลงวันก็เป็นพาหะนำโรคร้ายต่างๆ อยู่แล้ว เช่น อหิวาตกโรค โรคบิด ไข้รากสาด เป็นต้น การเป็นพาหะนำโรคของแมลงวันจึงทำให้เกิดตำนานความเชื่อเกี่ยวกับ เบลเซบับ ขึ้น
เบลเซบับ มีความแตกต่างจาก ซาตาน เพราะพลังอำนาจของเบลเซบับไม่ได้มาจากการให้ของซาตาน เรียกได้ว่าเบลเซบับปกครองนรกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละส่วนกับของซาตาน ภายหลังกระแสของซาตานดังกว่า ผู้คนจึงกล่าวว่าซาตานเป็นนายของเบลเซบับไปซะงั้น
ในคัมภีร์ Gospel of Nicodemus ได้กล่าวถึงการเยือนนรกของพระเยซูเป็นเวลา 3 วันนั้น ได้ให้อำนาจปกครองนรกแก่เบลเซบับและให้มีอำนาจเหนือซาตาน (เป็นการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการโดยพระคริสต์) เพื่อแลกกับการยอมรับในตัวพระองค์ เนื่องจากซาตานนั้นเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้า ไม่ยอมรับในตัวพระองค์อย่างแน่นอน และท่านยังมอบหมายให้พาตัวอดัมและนักบุญคนอื่นๆ ที่ถูกกักขังอยู่ในนรกกลับสวรรค์ด้วย (จึงมีผู้กล่าวว่าเบลเซบับยอมรับใช้พระเจ้าเพื่อขอให้พระองค์ผ่อนโทษเหมือน กับแอสโมดิวส์ แต่เบลเซบับเป็นปีศาจซุกซน เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง กลับกลอก จะเอาแน่ก็ไม่ได้ ดีร้ายเท่ากัน)
บางครั้ง เบลเซบับก็ปรากฏอยู่ในรูปของวัวยักษ์ หรือแพะตัวผู้ที่มีหางยาว เมื่อโกรธก็จะพ่นไฟออกมาทางปาก
คำว่า "เบลเซบับ" นอกจากเป็น "จ้าวแห่งแมลงวัน" แล้ว ยังมีอีกชื่อหนึ่ง ก็คือเป็น "จอมทำลายล้าง"
เบลเซบับในความเชื่อของชาวเพเก้น เชื่อกันว่าผู้ยิ่งใหญ่หรือจ้าวแห่งนรกมีอยู่ด้วยกัย 3 ตน คือ ลูซิเฟอร์ เบลเซบับ และแอสทารอส เชื่อกันว่าทั้งสามตนต้องการปกครองผืนโลกาปฐพีทั้งใบ โดยลูซิเฟอร์จะปกครองดินแดนทางเหนือและตะวันออก (หรือยูเรเซีย) เพราะเต็มไปด้วยมนุษย์ที่หยิ่งยโสเหมือนมัน เบลเซบับจะปกครองดินแดนทางใต้ (แอฟริกากับแอนตาร์กติกา) เพราะว่าเหมาะแก่การฟักตัวของโรคร้าย และแอสทารอสจะปกครองดินแดนทางตะวันตก (อเมริกาเหนือและใต้) เพราะเต็มไปด้วยมนุษย์ที่บ้าอำนาจเหมือนมัน ซึ่งแตกต่างจากซาตานที่ต้องการปกครองสวรรค์และตั้งตนเป็นพระเจ้า
เบลเซบับเป็นปีศาจประจำบาปตะกละ เนื่องจากเป็นปีศาจที่มีความตะกละอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กินไม่หยุดหย่อนและเลือกแต่อาหารดีๆ กินเท่าไรก็ไม่หมดความหิวกระหาย เป็นนิสัยที่น่ารังเกียจมากๆ และหากมนุษย์คนใดถูกเบลเซบับสิงก็จะมอบชีวิตให้แก่มันด้วยการกินเท่านั้น
แมมม่อน Mammon (Avarice = ความโลภ)
บาปแห่งความโลภในเงินทอง เป็นบาปที่มีอำนาจมากในสมัยนี้ คนบางคนคิดว่าเงินคือพระเจ้า เพราะงั้นจึงไม่แปลกถ้า แมมม่อน ตัวแทนแห่งความโลภในเงิน จะมีอำนาจมากในนรก เพราะความโลภ ก่อให้เกิดการคตโกง การขโมย รวมถึงการฆาตกรรม
แมมมอน มีความหมายว่า "ทรัพย์สมบัติ" "ทรัพย์ศฤงคาร" "เจ้าแห่งเงินตรา" หรือ "ผู้ร่ำรวยที่สุด" แต่คำแปลนั้นยังไม่แน่ชัด บางกลุ่มก็บอกว่ามันแปลว่า "ผู้คตโกง" ในภาาาชาวฮิบรู คำว่า matmon แปลว่าเงินทอง แต่มีกล่าวไว้ว่าคำๆ นี้มาจากชาว Syrian เพระพวกเค้าเรียกผู้ร่ำรวยด้วยชื่อของปีศาจ
แมมมอน เป็นหนึ่งในเจ้าชายแห่งนรก ซึ่งเคยเป็น Archangel มาก่อนเหมือนลูซิเฟอร์ บางคนก็กล่าวไว้ว่า แมมม่อนเป็นตนเดียวกันกับ Beelzebub
มีคำกล่าวไว้มากมายเกี่ยวกับปีศาจตนนี้ บ้างว่ามันได้ครองบันลังแห่งโลกนี้ไว้ เพราะว่าโลกสมัยนี้เป็นโลกแห่งเงินทอง
ในพระคัมภีร์มีการกล่าวถึงแมมมอนน้อยมาก มีเพียงแค่คำบางคำที่พูดถึงมันเช่น "Mammon est nomen daemonis" (Mammon is the name of a demon). หรือ แมมมอนคือชื่อของปีศาจ และ กล่าวถึงมันที่แปลว่า ความร่ำรวยเพียงเท่านั้น
St Matthew กล่าวเอาใว้ว่า "No one can serve two masters. He will either hate one and love the other, or be devoted to one and despise the other. You cannot serve God and mammon." Matthew 6:24
แปลได้ว่า
"ไม่มีใครสามารถรับใช้ได้สองเจ้า เขาจะรังเกียจอีกคน และรักอีกคน หรือ ซื่อสัตย์อีกคน และเหยียดหยามอีกคน คุณไม่สามารถรับใช้พระเป็นเจ้า และ แมมม่อนได้"
Milton กล่าวเกี่ยวกับแมมม่อนไว้อีกมากมาย โดยมีใจความรวมๆ คือ แมมม่อนเป็นปีศาจที่สามารถเข้าสิงใครก็ได้ที่มีความกระหาย มันจะแทรกเข้าไปในจิตใจจากความโลภที่ผู้นั้นมี มันจะบังคับให้คนผู้น้ำทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินทองมาเป็นของตน และไม่ยอมที่จะให้มันไปกับใคร ถ้าจะให้คนๆ นี้บริจาคเงินละก็ ฝันไปเถอะ สำหรับคนที่ถือว่าเงินคือพระเจ้า คิดว่าเงินบันดาลเสกสรรค์ได้ทุกอย่าง นั่นแหละคือพวกสาวกของ MAMMON มันจะทำให้คนๆ นั้นรักเงินยิ่งกว่าทุกสิ่งในโลก ในที่สุดก็ทำให้เสียทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมด แม้กระทั้งลูกเมีย
ซาตาน Stan (Anger = ความโกรธ)
กล่าวกันว่า ซาตาน คือ เทพแพน หรือ บาโพเมท ซึ่งเป็นเทพแห่งความอุมสมบูรณ์แห่งลัทธิเพเกิน เป็นมนุษย์ประหลาด มีหัวเป็นแพะ มีเขายาว และมีปีก นั่งอยู่บนแท่ง
โดยแต่เดิม ซาตาน เป็นเทพ ชื่อแพน เป็นเทพหน้าแพะ (The goat-god) ให้พลังอำนาจแห่งความปราถนา อันยากที่จะหยุดยั้งหรือควบคุม โดยเฉพาะความต้องการทางเพศอันรุนแรง ชาวกรีกโบราณก็บูชาเทพองค์นี้กัน เพื่อขอให้ได้บุตร อำนาจแห่งความลุ่มหลงในอารมณ์ใคร่ รสสัมผัสอันเย้ายวนของอิสตรี เป็นพลังมืดที่ซ่อนเร้นในจิตใจมนุษย์ และเทพบุตรแพนชอบที่จะดลจิตใจใฝ่ราคะนี้แก่มนุยษ์มากจนเกิดความวุ่นวายขึ้น จนโดนลงโทษ ถูกขับไล่ลงจากสวรรค์มาสร้างอาณาจักรใต้พื้นภิภพ โดยอาณานิคมแห่งใหม่ ถูกขานนามว่า "นรกนิเวศ์" เป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณอันชั่วร้าย สะสมไว้ด้วยกองกิเลส บุคคลที่เต็มไปด้วย โลภะ โมหะ โทสะ จึงมักจะเดินทางไปสู่ปรโลกเสียส่วนมาก
เล่ากันว่า กาลครั้งหนึ่ง หญิงอายุประมาณ 32 ปี ชื่อว่า "บาร่า" แห่งหมู่บ้านที่มีชื่อว่า "เมืองซู" เธอมีนิสัยเป็นคนใจดำไม่ชอบช่วยเหลือใคร จึงไม่มีคนในหมู่บ้านคบค้าสมาคมชมดาวด้วย แต่แล้วเทพเจ้าแห่ง Loki ก็มาเยือนหมู่บ้านแห่งนั้น จึงมีประชาชนขอร้องให้กำจัดบาร่าออกไปจากหมู่บ้าน ซึ่งจะมีปราสาทหลังใหญ่เอาไว้สำหรับสักการะบูชา เทพเจ้า Loki เห็นว่าบาร่าเป็นคนไม่ดีจึงสาปให้บาร่ากลายเป็นกวางมูส แต่คำสาปเกิดผิดพลาดทำให้บาร่ากลายเป็นปีศาจอันทรงพลัง มีเคียวอันใหญ่เป็นอาวุธ มีนามว่า "บาโฟ" แต่เหตุการณ์ก็ไม่แย่เท่าไหร่เพราะเทพเจ้า Loki สามารถปิดผนึกบาโฟไว้ในปราสาทที่เป็นสิงสถิตย์ของเทพเจ้า Loki บ้านเมืองจึงสงบสุข แต่เหตุการณ์ก็ผวนคืน เมื่อลูกๆ ของบาร่า หรือ บาโฟ นั้นโตขึ้นจึงแก้แค้นให้แม่ โดยการเข่นฆ่าคนในหมู่บ้าน เทพเจ้า Loki จึงต้องออกมาปราบ โดยสาปให้เป็นกวางมูสตัวเล็ก แต่ด้วยอำนาจด้านมืดเลยทำให้กลายเป็นปีศาจรูปร่าง แบบเดียวกับ บาโฟ โดยมีเคียวอันเล็กเป็นอาวุธ แต่ในเมื่อไม่มีชื่อ ชาวบ้านจึงขนานนามมันว่า "บาโฟ จูเนียร์" แล้วเทพเจ้า Loki จึงปิดผนึกพวกมันโดยนำไปไว้ที่เดียวกับบาโฟ บ้านเมืองจึงสงบสุข
เวลาล่วงเลยไป 800 ปี อำนาจของบาโฟก็สามารถทำลายพลังของเทพเจ้า Loki และได้สร้างกองทัพปีศาจ มาต่อกรกับเทพเจ้า Loki แถมสามราถปราบเทพเจ้า Loki ได้สำเร็จและยึดครองเมืองซู เป็นอาณาจักรแห่งปีศาจ จากนั้นก็กลายเป็นเมืองร้าง
เจาะลึกเรื่อง Baphomet
Baphomet เป็นรูปเคารพของลัทธิที่บูชา Satan ลัทธิหนึ่งที่เป็นที่เคารพของ Templar (อัศวินทางศาสนา) โดยที่ Baphomet เป็นเครื่องหมายแห่งความชั่วร้าย และ มนต์ดำ ตำนานทาง Templar มีหลายตำนานที่มีการพูดถึง Baphomet แม้จะผ่านมากว่า 600 ปี แต่เรื่องราวของ Baphomet ยังคงเป็นสิ่งลึกลับที่น่าสนใจมาตลอด เรื่องของ Baphomet อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 เชื่อกันว่ากลุ่ม Templar ได้มีการสร้างลักทธิความเชื่อในการบูชาเทพปีศาจนาม Baphomet พวกเขามีพิธีกรรมต่างๆ ที่แสนจะแปลกพิศดาร ที่จะกระทำต่อ Baphomet เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจและวัตถุประสงค์ต่างๆ
พิธีกรรม ของ Baphomet มีหลายรูปแบบ ตั้งแต่ขั้นต้นที่อัญเชิญ Baphomet มา การให้ Baphomet เข้าสิงร่างและควบคุมร่างอย่างสมบูรณ์ (โดยผู้ถูกสิงจะไม่มีสติเลย) รวมไปถึงการติดต่อกับ Baphomet เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจตอบสนองความปรารถนาต่างๆ รูปแบบของพิธีกรรมมีหลากหลายขั้นตอน แต่สิ่งประกอบสำคัญทั่วไป คือ เลือดและการบูชายัญด้วยชีวิต
(มีนักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่า Templar ก็ดี ลัทธิความเชื่อพิธีกรรมอย่าง Baphomet ก็ดี เป็นส่วนหนึ่งของการคอรัปชั่นของทางรัฐบาล กับทางโบสถ์ และเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความสับสนวุ่นวายไร้ระเบียบของคนในยุคนั้นด้วย)
รูปแบบของ Baphomet นั้นมีอยู่มากมาย จากตำนานต่างๆ แต่ที่มีความสอดคล้องกันคือ Baphomet จะมีรูปร่างเป็นมนุษย์เพศชายรูปร่างกำยำ ในขณะที่ศรีษะจะเป็นศรีษะระของสัตว์ รูปแบบที่พบกันบ่อยคือ หัวของแพะ บางตำนานจะมีการเน้นถึงเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ พลังงานของ Baphomet จากอวัยวะเพศชายที่ตั้งตรงและมีงูวนอยู่รอบๆ ด้วย นอกจากนี้ ยังมีสิ่งประกอบอื่นๆ เกี่ยวกับ Baphomet อีก เช่น สัญลักษณ์ ดาว 5 แฉก โดยเรามักจะเห็นเครื่องหมายนี้อยู่คู่กับ Baphomet เสมอ "Eliphas Levi" ผู้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องลัทธิความเชื่อนี้ในศตวรรษที่ 19 ได้บรรยายถึงลักษณะของ Baphomet รวมไปถึงรูปแบบดาว 5 แฉก ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายและปีศาจ ซึ่งในยุคกลางนี้ ดาว 5 แฉกในส่วนขวาบนจะหมายถึงหน้าร้อน ในขณะที่ด้านกลับ หรือ ส่วนล่างจะหมายถึงหน้าหนาว ซึ่งเชื่อกันว่า Levi ได้วาดรูปแบบของดาว 5 แฉก ไว้ 2 ลักษณะด้วยกัน โดยแบบแรก เป็นการสร้างรูปแบบของมนุษย์จากจุดทั้ง 5 ของดาว สื่อถึงธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามจุดแขนขาทั้ง 4 ของมนุษย์ โดยที่จุดที่ 5 คือ ศีรษะเป็นส่วนแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งรูปแบบนี้เรียกว่า Microcosmic Man (จุลภพมนุษย์) แบบที่ 2 เป็นรูปแบบที่เกี่ยวกับ Baphomet อย่างชัดเจน โดยเป็นรูปแบบดาว 5 แฉกที่กลับด้าน ในรูปแบบของศีรษะของแพะซึ่งก็คือสื่อถึง Baphomet นั่นเอง เป็นการเปรียบเทียบระหว่างรูปแบบของมนุษย์ และ ปีศาจนั่นเอง สัญลักษณ์ดาว 5 แฉกของ Baphomet นี้ ถูกใช้อย่างเป็นทางการในแง่เครื่องหมายของ Satan โดยเริ่มโดย Anton Szandor La Vey ในปี 1996 แล้วจึงถูกใช้อย่างแพร่หลาย โดยลัทธิบูชา satan ต่างๆ ทั่วโลก รูปที่เกี่ยวกับ Baphomet ส่วนมากจะถูกวาดและบรรยายโดย Levi ซึ่งผลงานของ Levi เกี่ยวกับเรื่อง Baphomet นี้ ถูกใช้ครั้งแรกกับผลงาน "A Pictorial History of Magic and the Supernatural" ของ Maurice Bessy ตีพิมพิ์ในฝรั่งเศสในปี 1961 และแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 1964 หลายปีหลังการเสียชีวิตของ Levi
โดยแต่เดิม ซาตาน เป็นเทพ ชื่อแพน เป็นเทพหน้าแพะ (The goat-god) ให้พลังอำนาจแห่งความปราถนา อันยากที่จะหยุดยั้งหรือควบคุม โดยเฉพาะความต้องการทางเพศอันรุนแรง ชาวกรีกโบราณก็บูชาเทพองค์นี้กัน เพื่อขอให้ได้บุตร อำนาจแห่งความลุ่มหลงในอารมณ์ใคร่ รสสัมผัสอันเย้ายวนของอิสตรี เป็นพลังมืดที่ซ่อนเร้นในจิตใจมนุษย์ และเทพบุตรแพนชอบที่จะดลจิตใจใฝ่ราคะนี้แก่มนุยษ์มากจนเกิดความวุ่นวายขึ้น จนโดนลงโทษ ถูกขับไล่ลงจากสวรรค์มาสร้างอาณาจักรใต้พื้นภิภพ โดยอาณานิคมแห่งใหม่ ถูกขานนามว่า "นรกนิเวศ์" เป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณอันชั่วร้าย สะสมไว้ด้วยกองกิเลส บุคคลที่เต็มไปด้วย โลภะ โมหะ โทสะ จึงมักจะเดินทางไปสู่ปรโลกเสียส่วนมาก
เล่ากันว่า กาลครั้งหนึ่ง หญิงอายุประมาณ 32 ปี ชื่อว่า "บาร่า" แห่งหมู่บ้านที่มีชื่อว่า "เมืองซู" เธอมีนิสัยเป็นคนใจดำไม่ชอบช่วยเหลือใคร จึงไม่มีคนในหมู่บ้านคบค้าสมาคมชมดาวด้วย แต่แล้วเทพเจ้าแห่ง Loki ก็มาเยือนหมู่บ้านแห่งนั้น จึงมีประชาชนขอร้องให้กำจัดบาร่าออกไปจากหมู่บ้าน ซึ่งจะมีปราสาทหลังใหญ่เอาไว้สำหรับสักการะบูชา เทพเจ้า Loki เห็นว่าบาร่าเป็นคนไม่ดีจึงสาปให้บาร่ากลายเป็นกวางมูส แต่คำสาปเกิดผิดพลาดทำให้บาร่ากลายเป็นปีศาจอันทรงพลัง มีเคียวอันใหญ่เป็นอาวุธ มีนามว่า "บาโฟ" แต่เหตุการณ์ก็ไม่แย่เท่าไหร่เพราะเทพเจ้า Loki สามารถปิดผนึกบาโฟไว้ในปราสาทที่เป็นสิงสถิตย์ของเทพเจ้า Loki บ้านเมืองจึงสงบสุข แต่เหตุการณ์ก็ผวนคืน เมื่อลูกๆ ของบาร่า หรือ บาโฟ นั้นโตขึ้นจึงแก้แค้นให้แม่ โดยการเข่นฆ่าคนในหมู่บ้าน เทพเจ้า Loki จึงต้องออกมาปราบ โดยสาปให้เป็นกวางมูสตัวเล็ก แต่ด้วยอำนาจด้านมืดเลยทำให้กลายเป็นปีศาจรูปร่าง แบบเดียวกับ บาโฟ โดยมีเคียวอันเล็กเป็นอาวุธ แต่ในเมื่อไม่มีชื่อ ชาวบ้านจึงขนานนามมันว่า "บาโฟ จูเนียร์" แล้วเทพเจ้า Loki จึงปิดผนึกพวกมันโดยนำไปไว้ที่เดียวกับบาโฟ บ้านเมืองจึงสงบสุข
เวลาล่วงเลยไป 800 ปี อำนาจของบาโฟก็สามารถทำลายพลังของเทพเจ้า Loki และได้สร้างกองทัพปีศาจ มาต่อกรกับเทพเจ้า Loki แถมสามราถปราบเทพเจ้า Loki ได้สำเร็จและยึดครองเมืองซู เป็นอาณาจักรแห่งปีศาจ จากนั้นก็กลายเป็นเมืองร้าง
เจาะลึกเรื่อง Baphomet
Baphomet เป็นรูปเคารพของลัทธิที่บูชา Satan ลัทธิหนึ่งที่เป็นที่เคารพของ Templar (อัศวินทางศาสนา) โดยที่ Baphomet เป็นเครื่องหมายแห่งความชั่วร้าย และ มนต์ดำ ตำนานทาง Templar มีหลายตำนานที่มีการพูดถึง Baphomet แม้จะผ่านมากว่า 600 ปี แต่เรื่องราวของ Baphomet ยังคงเป็นสิ่งลึกลับที่น่าสนใจมาตลอด เรื่องของ Baphomet อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 เชื่อกันว่ากลุ่ม Templar ได้มีการสร้างลักทธิความเชื่อในการบูชาเทพปีศาจนาม Baphomet พวกเขามีพิธีกรรมต่างๆ ที่แสนจะแปลกพิศดาร ที่จะกระทำต่อ Baphomet เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจและวัตถุประสงค์ต่างๆ
พิธีกรรม ของ Baphomet มีหลายรูปแบบ ตั้งแต่ขั้นต้นที่อัญเชิญ Baphomet มา การให้ Baphomet เข้าสิงร่างและควบคุมร่างอย่างสมบูรณ์ (โดยผู้ถูกสิงจะไม่มีสติเลย) รวมไปถึงการติดต่อกับ Baphomet เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจตอบสนองความปรารถนาต่างๆ รูปแบบของพิธีกรรมมีหลากหลายขั้นตอน แต่สิ่งประกอบสำคัญทั่วไป คือ เลือดและการบูชายัญด้วยชีวิต
(มีนักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่า Templar ก็ดี ลัทธิความเชื่อพิธีกรรมอย่าง Baphomet ก็ดี เป็นส่วนหนึ่งของการคอรัปชั่นของทางรัฐบาล กับทางโบสถ์ และเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความสับสนวุ่นวายไร้ระเบียบของคนในยุคนั้นด้วย)
รูปแบบของ Baphomet นั้นมีอยู่มากมาย จากตำนานต่างๆ แต่ที่มีความสอดคล้องกันคือ Baphomet จะมีรูปร่างเป็นมนุษย์เพศชายรูปร่างกำยำ ในขณะที่ศรีษะจะเป็นศรีษะระของสัตว์ รูปแบบที่พบกันบ่อยคือ หัวของแพะ บางตำนานจะมีการเน้นถึงเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ พลังงานของ Baphomet จากอวัยวะเพศชายที่ตั้งตรงและมีงูวนอยู่รอบๆ ด้วย นอกจากนี้ ยังมีสิ่งประกอบอื่นๆ เกี่ยวกับ Baphomet อีก เช่น สัญลักษณ์ ดาว 5 แฉก โดยเรามักจะเห็นเครื่องหมายนี้อยู่คู่กับ Baphomet เสมอ "Eliphas Levi" ผู้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องลัทธิความเชื่อนี้ในศตวรรษที่ 19 ได้บรรยายถึงลักษณะของ Baphomet รวมไปถึงรูปแบบดาว 5 แฉก ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายและปีศาจ ซึ่งในยุคกลางนี้ ดาว 5 แฉกในส่วนขวาบนจะหมายถึงหน้าร้อน ในขณะที่ด้านกลับ หรือ ส่วนล่างจะหมายถึงหน้าหนาว ซึ่งเชื่อกันว่า Levi ได้วาดรูปแบบของดาว 5 แฉก ไว้ 2 ลักษณะด้วยกัน โดยแบบแรก เป็นการสร้างรูปแบบของมนุษย์จากจุดทั้ง 5 ของดาว สื่อถึงธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามจุดแขนขาทั้ง 4 ของมนุษย์ โดยที่จุดที่ 5 คือ ศีรษะเป็นส่วนแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งรูปแบบนี้เรียกว่า Microcosmic Man (จุลภพมนุษย์) แบบที่ 2 เป็นรูปแบบที่เกี่ยวกับ Baphomet อย่างชัดเจน โดยเป็นรูปแบบดาว 5 แฉกที่กลับด้าน ในรูปแบบของศีรษะของแพะซึ่งก็คือสื่อถึง Baphomet นั่นเอง เป็นการเปรียบเทียบระหว่างรูปแบบของมนุษย์ และ ปีศาจนั่นเอง สัญลักษณ์ดาว 5 แฉกของ Baphomet นี้ ถูกใช้อย่างเป็นทางการในแง่เครื่องหมายของ Satan โดยเริ่มโดย Anton Szandor La Vey ในปี 1996 แล้วจึงถูกใช้อย่างแพร่หลาย โดยลัทธิบูชา satan ต่างๆ ทั่วโลก รูปที่เกี่ยวกับ Baphomet ส่วนมากจะถูกวาดและบรรยายโดย Levi ซึ่งผลงานของ Levi เกี่ยวกับเรื่อง Baphomet นี้ ถูกใช้ครั้งแรกกับผลงาน "A Pictorial History of Magic and the Supernatural" ของ Maurice Bessy ตีพิมพิ์ในฝรั่งเศสในปี 1961 และแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 1964 หลายปีหลังการเสียชีวิตของ Levi
ตำนานซอมบี้ (Zombies)
ซอมบี้ เป็นผีดิบระดับแนวหน้าตัวหนึ่ง หรือน่าจะเรียกว่าพวกหนึ่ง เพราะผีดิบซอมบี้ มักจะถูกพ่อมดหมอผี ปลุกขึ้นมาเพื่อนำมาใช้งานตามคำสั่ง และจะปลุกขึ้นมาเป็นขโยง เดินยั๊วเยี้ยกันเต็มเมือง
ประวัติความเป็นมาของซอมบี้
- เรื่องราวของผีดิบเดินได้ที่เรียกว่า "ซอมบี้" นี้เกิดขึ้นครั้งแรกในดินแดนแถบริมฝั่งทะเลคาริบเบียน และได้เผยแพร่ขยายไปในส่วนต่างๆ ของทวีปยุโรป ผู้ที่ทำพิธีกรรมทางไศยศาสตร์ ปลุกผีดิบพวกนี้ขึ้นมา คือบรรดาพ่อมดหมอผีผู้รอบรู้เกี่ยวกับวิชามนต์ดำในลัทธิวูดู อันเป็นลัทธิหนึ่งซึ่งมีวิธีปลุกศพคนตายให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งไสยเวทย์ โดยการท่องมนต์ลึกลับอ้อนวอนต่อ "เวสตู" เทพเจ้าแห่งปีศาจและความชั่วร้าย นอกจากนั้นลัทธิวูดู ยังมีมีพิธีการเกี่ยวกับการสาปแช่งและสังหารศัตรู ด้วยวิธีการของมนต์ดำอีกมากมาย
ซอมบี้ที่ถูกปลุกจากพวกหมอผีหรื่อพวกลัทธินอกรีต มักจะมีนิสัยดุร้าย ชอบกินพวกซากคนตายตามสุสาน ซากสัตว์ต่างๆ หรือแม้แต่คนเป็นก็ย่อมได้ ซอมบี้พวกนี้ มีลักษณะผอมโซ เคลื่อนที่ช้า แต่ บางพวก เช่น ซอมบี้ที่มีชื่อว่า น็อตซือเฮอเรอร์(nachtzeher)จะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว
ยังมีซอมบี้ที่ถูกดัดแปลง ซึ่งเป็นซอมบี้ที่เกิดจาก พวกนักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองเกี่ยวกับชีวเคมี (ส่วนใหญ่คือ พวกแฟรงเก้นสไตน์ นั่นเอง) แต่ที่ปรากฏในเกม หรือ ภาพยนตร์ มักจะเป็นซอมบี้ที่เกิดจากการทดลองไวรัสปรสิต มีการเคลื่อนไหว เชื้องช้า (เพราะ เป็นคนที่ตายไปแล้ว เลือดจะแข็งตัว ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก) เมื่อใดที่ซอมบี้พวกนี้ กัด หรือ ข่วน มนุษย์ ในไม่ช้า คนๆ นั้นก็จะกลายเป็น ซอมบี้เช่นเดียวกัน ซอมบี้พวกนี้ลักษณะเป็นคนหน้าซีด ตาขาว มีฟันที่ไม่ตรงกัน และมีฟันที่เหลือง มีเลือดชุ่มตัว น่าสยดสยอง มีจุดอ่อนที่หัว เพราะซอมบี้พวกนี้ มักถูกไวรัสควบคุมที่สมอง ถ้าใช้อาวุธคม พวกขวาน หรือ ดาบ ฟันเข้า จะหยุดการทำงานของซอมบี้ ส่วนภาพยนตร์ที่โด่งดังที่ทุกคนรู้จักซอมบี้ในทุกๆ แห่ง คงหนีไม่พ้น หนังเรื่อง Resident Evil (ผีชีวะ) ทั้ง 5 ภาค ซึ่งดัดแปลงมาจากเกม Resident Evil นั่นเอง
ในการปลุกผีดิบซอมบี้ สภาพศพที่สามารถนำมาใช้ในพิธีได้ จะต้องใช้ศพของคนที่เพิ่งตายใหม่ๆ ยังไม่เน่าเปื่อยหรือถึงกับยุ่ยจนเหลือแต่โครงกระดูก
วิธีการที่จะได้ศพมาทำพิธี
1.ขโมยขุดศพมาจากสุสาน
2.ขโมยศพจากโรงพยาบาล
ลักษณะและความสามารถของซอมบี้
ผีดิบเหล่านี้เมื่อถูกปลุกขึ้นมาก็จะทำตามคำสั่งทุกอย่าง สามารถใช้งานให้ทำอะไรก็ได้ โดยมีสภาพขแข็งทื่อ ไร้สติปัญญา ไรจิตใจ แถมมีความทรหดอดทน แข็งแรงแบบที่ว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นพวกหมอผีจึงปลุกขึ้นมาให้ทำงานอย่างไม่มีเวลาพัก ดีกว่าจ้างคนเสียอีก
อิทฤทธิ์และวิธีการป้องกันกับซอมบี้
ผีดิบซอมบี้ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น มันมีความแข็งแรงสูง แถมเป็นพวกไม่กลัวแสงแดด เวลาโดนอะไรก็จะไม่รู้สึกนอกเสียจากว่า ทำลายมันให้เละ จึงเป็นตัวที่ปราบปรามยากอยู่สักหน่อย วิธีการหยุดมันควรจะใช้ของแรงๆ เช่น ปืนไฟ จรวด ก็คงพอจะเอาอยู่ แต่เนื่องจากมันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เอาแต่ไล่ล่าหาเหยื่อ ถ้าเจอเข้า โกยแน่บ เป็นดีที่สุด
ประวัติความเป็นมาของซอมบี้
- เรื่องราวของผีดิบเดินได้ที่เรียกว่า "ซอมบี้" นี้เกิดขึ้นครั้งแรกในดินแดนแถบริมฝั่งทะเลคาริบเบียน และได้เผยแพร่ขยายไปในส่วนต่างๆ ของทวีปยุโรป ผู้ที่ทำพิธีกรรมทางไศยศาสตร์ ปลุกผีดิบพวกนี้ขึ้นมา คือบรรดาพ่อมดหมอผีผู้รอบรู้เกี่ยวกับวิชามนต์ดำในลัทธิวูดู อันเป็นลัทธิหนึ่งซึ่งมีวิธีปลุกศพคนตายให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งไสยเวทย์ โดยการท่องมนต์ลึกลับอ้อนวอนต่อ "เวสตู" เทพเจ้าแห่งปีศาจและความชั่วร้าย นอกจากนั้นลัทธิวูดู ยังมีมีพิธีการเกี่ยวกับการสาปแช่งและสังหารศัตรู ด้วยวิธีการของมนต์ดำอีกมากมาย
ซอมบี้ที่ถูกปลุกจากพวกหมอผีหรื่อพวกลัทธินอกรีต มักจะมีนิสัยดุร้าย ชอบกินพวกซากคนตายตามสุสาน ซากสัตว์ต่างๆ หรือแม้แต่คนเป็นก็ย่อมได้ ซอมบี้พวกนี้ มีลักษณะผอมโซ เคลื่อนที่ช้า แต่ บางพวก เช่น ซอมบี้ที่มีชื่อว่า น็อตซือเฮอเรอร์(nachtzeher)จะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว
ยังมีซอมบี้ที่ถูกดัดแปลง ซึ่งเป็นซอมบี้ที่เกิดจาก พวกนักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองเกี่ยวกับชีวเคมี (ส่วนใหญ่คือ พวกแฟรงเก้นสไตน์ นั่นเอง) แต่ที่ปรากฏในเกม หรือ ภาพยนตร์ มักจะเป็นซอมบี้ที่เกิดจากการทดลองไวรัสปรสิต มีการเคลื่อนไหว เชื้องช้า (เพราะ เป็นคนที่ตายไปแล้ว เลือดจะแข็งตัว ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก) เมื่อใดที่ซอมบี้พวกนี้ กัด หรือ ข่วน มนุษย์ ในไม่ช้า คนๆ นั้นก็จะกลายเป็น ซอมบี้เช่นเดียวกัน ซอมบี้พวกนี้ลักษณะเป็นคนหน้าซีด ตาขาว มีฟันที่ไม่ตรงกัน และมีฟันที่เหลือง มีเลือดชุ่มตัว น่าสยดสยอง มีจุดอ่อนที่หัว เพราะซอมบี้พวกนี้ มักถูกไวรัสควบคุมที่สมอง ถ้าใช้อาวุธคม พวกขวาน หรือ ดาบ ฟันเข้า จะหยุดการทำงานของซอมบี้ ส่วนภาพยนตร์ที่โด่งดังที่ทุกคนรู้จักซอมบี้ในทุกๆ แห่ง คงหนีไม่พ้น หนังเรื่อง Resident Evil (ผีชีวะ) ทั้ง 5 ภาค ซึ่งดัดแปลงมาจากเกม Resident Evil นั่นเอง
ในการปลุกผีดิบซอมบี้ สภาพศพที่สามารถนำมาใช้ในพิธีได้ จะต้องใช้ศพของคนที่เพิ่งตายใหม่ๆ ยังไม่เน่าเปื่อยหรือถึงกับยุ่ยจนเหลือแต่โครงกระดูก
วิธีการที่จะได้ศพมาทำพิธี
1.ขโมยขุดศพมาจากสุสาน
2.ขโมยศพจากโรงพยาบาล
ลักษณะและความสามารถของซอมบี้
ผีดิบเหล่านี้เมื่อถูกปลุกขึ้นมาก็จะทำตามคำสั่งทุกอย่าง สามารถใช้งานให้ทำอะไรก็ได้ โดยมีสภาพขแข็งทื่อ ไร้สติปัญญา ไรจิตใจ แถมมีความทรหดอดทน แข็งแรงแบบที่ว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นพวกหมอผีจึงปลุกขึ้นมาให้ทำงานอย่างไม่มีเวลาพัก ดีกว่าจ้างคนเสียอีก
อิทฤทธิ์และวิธีการป้องกันกับซอมบี้
ผีดิบซอมบี้ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น มันมีความแข็งแรงสูง แถมเป็นพวกไม่กลัวแสงแดด เวลาโดนอะไรก็จะไม่รู้สึกนอกเสียจากว่า ทำลายมันให้เละ จึงเป็นตัวที่ปราบปรามยากอยู่สักหน่อย วิธีการหยุดมันควรจะใช้ของแรงๆ เช่น ปืนไฟ จรวด ก็คงพอจะเอาอยู่ แต่เนื่องจากมันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เอาแต่ไล่ล่าหาเหยื่อ ถ้าเจอเข้า โกยแน่บ เป็นดีที่สุด
ตำนานแฟรงเก็นสไตน์
ในจำนวนผีแนวหน้า หรือระดับอินเตอร์ ดูเหมือนว่า "บารอน แฟรงเก็นสไตน์" ก็ไม่เคยเป็นรองใคร ไม่ว่าจะเป็น ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า แวมไพร์ ซอมบี้ มนุษย์หมาป่า หรือแม้แต่มัมมี่แห่งอียิปต์
ประวัติความเป็นมา
- ความจริง แฟรงเก็นสไตน์ เป็นชื่อของนายแพทย์นักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างมันขึ้นมา คือ ดร.แฟรงเก็นสไตน์ ในหนังสือที่แมรี่ เชลลี่ย์ แต่งเอาไว้นั้น เธอเรียกเจ้าผีดิบสุดขี้เหร่ตัวนี้ว่า "มอนสเตอร์" (Monster) หรือ อสูรกาย และเจ้าแฟรงเก็นสไตน์แต่เดิมก็ไม่ได้มีฐานะเป็น บารอน โดยตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ ได้มาภายหลังเมื่อนิยายสยองขวัญเรื่องนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์เพื่อให้ท่านบารอน แฟรงเก็นสไตน์ เป็นคู่ปรับที่สมน้ำสนเนื้อกับ ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่านั่นเอง และเนื้อเรื่องเดิมนั้นก็ได้ถูกดัดแปลงต่อเติมซะจนเจ้าของตำราเองยังงงเลย
- ผีดิบ แฟรงเก็นสไตน์ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดสมองและเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นส่วนของอวัยวะต่างๆ แต่ก็ต้องเย็บปะทั้งตัว ที่เห็นได้ชัดเจนคือรอยเย็บตามใบหน้าและอวัยวะต่างๆ ด้วยเหตุนี้แฟรงเก็นสไตน์ จึงแทบจะหาความหล่อไม่เจอ และไม่รู้ว่าทำไม ดร.แฟรงเก็นสไตน์ ผู้ลงมือสร้างจึงไม่เอาวิธีเกี่ยวกับศัลยกรรมเข้าช่วย อิอิ แต่ก็อาจเป็นเพราะวิชาการแพทย์สมัยก่อนไม่เจริญมากนัก หรือไม่ก็เพราะคนเขียนคงเกรงว่าเจ้าผีดิบที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้จะไม่น่ากลัวหวาดเสียวสยดสยองเท่าที่ควรก็เป็นได้
จุดกำเนิดของนิยายสยองขวัญ แฟรงเก็นสไตน์
- ผู้ให้กำเนิดเจ้าผีดิบตัวนี้ คือนักประพันธ์สาวสวยที่ชื่อว่า แมรี่ เชลลี่ย์ ซึ่งตอนนั้นเธอเพิ่งจะมีอายุเพียง 20 เศษๆ เท่านั้น และเป็นภรรยาของ เปอร์ซี่ เชลลี่ย์ ยอดกวีโรแมนติกผู้เป็นสหายของท่าน ลอร์ด ไบรอน ยอดกวีนักรักผู้ลือนาม
- เรื่องราวของผีดิบตนนี้ เกิดขึ้นเมื่อศิลปินทั้งสามที่เอ่ยนามมานั้น ได้เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ดินแดนแห่ง สวรรค์อันงดงาม แต่ดันไปในช่วงที่กำลังเกิดอากาศเลวร้ายจนสามศิลปินต้องนั่งจับเจ่าอยู่ที่บ้านพัก และเพื่อเป็นการหาอะไรทำแก้เซ็ง ทั้งสามจึงชักชวนกันแต่งนิยายผีสยองขวัญกันคนละเรื่อง โดยมีเพียง แมรี่ เชลลี่ย์ ผู้เดียวเท่านั้นที่เขียนได้จบ ซึ่งก็คือเรื่อง จอมผีดิบ แฟรงเก็นสไตน์นั่นเอง แถมต่อมา เรื่องนี้ดังกระฉ่อนไปทั่วโลกมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1816 หรือ พ.ศ. 2359 นั่นเอง
อิทฤทธิ์ของแฟงเก็นสไตน์
- เจ้าผีดิบตัวนี้ก็เหมือนกับผีดิบทั่วไป คือถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งาน ตามคำสั่งของเจ้านาย มีพละกำลังมหาศาล ทำงานได้ไม่รู้จักเหนื่อย หากเป็นเพียงอาวุธธรรมดายิง แทงหรือฟันไม่เข้าแน่นอน และมันก็ไม่ต้องกินอาหารหรือเลือด เพิ่มพลังเลย
วิธีสู้และป้องกันกับเจ้า แฟรงเก็นสไตน์
- เจ้าตัวนี้เป็นตัวที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีของวิทยาศาสตร์ จึงไม่กลัวไม้กางเขน หรือสิ่งศักสิทธิ์ใดๆ แต่ถ้าโดนอาวุธใหญ่ๆ อย่างจรวด หรือขีปนาวุธเข้าไปแล้วก็คงไม่เหลือซากเหมือนกัน 55+
การถ่ายทอดหรือการรักษาเผ่าพันธุ์
- เนื่องจากถูกสร้างมาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หากใครมีความรู้แขนงนี้แล้วนำศพมาผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะก็คงมีเจ้าผีดิบ แบบแฟรงเก็นสไตน์ อีกหลายตัว แต่ยังไม่เคยมีการรับรองอย่างเป็นทางการว่าจะใช้วิธีผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะแล้ว จะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ แต่คาดว่ายังคงมีการทดลองและวิจัยกันอยู่อย่าลับๆ และต่อเนื่อง
ประวัติความเป็นมา
- ความจริง แฟรงเก็นสไตน์ เป็นชื่อของนายแพทย์นักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างมันขึ้นมา คือ ดร.แฟรงเก็นสไตน์ ในหนังสือที่แมรี่ เชลลี่ย์ แต่งเอาไว้นั้น เธอเรียกเจ้าผีดิบสุดขี้เหร่ตัวนี้ว่า "มอนสเตอร์" (Monster) หรือ อสูรกาย และเจ้าแฟรงเก็นสไตน์แต่เดิมก็ไม่ได้มีฐานะเป็น บารอน โดยตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ ได้มาภายหลังเมื่อนิยายสยองขวัญเรื่องนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์เพื่อให้ท่านบารอน แฟรงเก็นสไตน์ เป็นคู่ปรับที่สมน้ำสนเนื้อกับ ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่านั่นเอง และเนื้อเรื่องเดิมนั้นก็ได้ถูกดัดแปลงต่อเติมซะจนเจ้าของตำราเองยังงงเลย
- ผีดิบ แฟรงเก็นสไตน์ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดสมองและเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นส่วนของอวัยวะต่างๆ แต่ก็ต้องเย็บปะทั้งตัว ที่เห็นได้ชัดเจนคือรอยเย็บตามใบหน้าและอวัยวะต่างๆ ด้วยเหตุนี้แฟรงเก็นสไตน์ จึงแทบจะหาความหล่อไม่เจอ และไม่รู้ว่าทำไม ดร.แฟรงเก็นสไตน์ ผู้ลงมือสร้างจึงไม่เอาวิธีเกี่ยวกับศัลยกรรมเข้าช่วย อิอิ แต่ก็อาจเป็นเพราะวิชาการแพทย์สมัยก่อนไม่เจริญมากนัก หรือไม่ก็เพราะคนเขียนคงเกรงว่าเจ้าผีดิบที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้จะไม่น่ากลัวหวาดเสียวสยดสยองเท่าที่ควรก็เป็นได้
จุดกำเนิดของนิยายสยองขวัญ แฟรงเก็นสไตน์
- ผู้ให้กำเนิดเจ้าผีดิบตัวนี้ คือนักประพันธ์สาวสวยที่ชื่อว่า แมรี่ เชลลี่ย์ ซึ่งตอนนั้นเธอเพิ่งจะมีอายุเพียง 20 เศษๆ เท่านั้น และเป็นภรรยาของ เปอร์ซี่ เชลลี่ย์ ยอดกวีโรแมนติกผู้เป็นสหายของท่าน ลอร์ด ไบรอน ยอดกวีนักรักผู้ลือนาม
- เรื่องราวของผีดิบตนนี้ เกิดขึ้นเมื่อศิลปินทั้งสามที่เอ่ยนามมานั้น ได้เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ดินแดนแห่ง สวรรค์อันงดงาม แต่ดันไปในช่วงที่กำลังเกิดอากาศเลวร้ายจนสามศิลปินต้องนั่งจับเจ่าอยู่ที่บ้านพัก และเพื่อเป็นการหาอะไรทำแก้เซ็ง ทั้งสามจึงชักชวนกันแต่งนิยายผีสยองขวัญกันคนละเรื่อง โดยมีเพียง แมรี่ เชลลี่ย์ ผู้เดียวเท่านั้นที่เขียนได้จบ ซึ่งก็คือเรื่อง จอมผีดิบ แฟรงเก็นสไตน์นั่นเอง แถมต่อมา เรื่องนี้ดังกระฉ่อนไปทั่วโลกมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1816 หรือ พ.ศ. 2359 นั่นเอง
อิทฤทธิ์ของแฟงเก็นสไตน์
- เจ้าผีดิบตัวนี้ก็เหมือนกับผีดิบทั่วไป คือถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งาน ตามคำสั่งของเจ้านาย มีพละกำลังมหาศาล ทำงานได้ไม่รู้จักเหนื่อย หากเป็นเพียงอาวุธธรรมดายิง แทงหรือฟันไม่เข้าแน่นอน และมันก็ไม่ต้องกินอาหารหรือเลือด เพิ่มพลังเลย
วิธีสู้และป้องกันกับเจ้า แฟรงเก็นสไตน์
- เจ้าตัวนี้เป็นตัวที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีของวิทยาศาสตร์ จึงไม่กลัวไม้กางเขน หรือสิ่งศักสิทธิ์ใดๆ แต่ถ้าโดนอาวุธใหญ่ๆ อย่างจรวด หรือขีปนาวุธเข้าไปแล้วก็คงไม่เหลือซากเหมือนกัน 55+
การถ่ายทอดหรือการรักษาเผ่าพันธุ์
- เนื่องจากถูกสร้างมาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หากใครมีความรู้แขนงนี้แล้วนำศพมาผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะก็คงมีเจ้าผีดิบ แบบแฟรงเก็นสไตน์ อีกหลายตัว แต่ยังไม่เคยมีการรับรองอย่างเป็นทางการว่าจะใช้วิธีผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะแล้ว จะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ แต่คาดว่ายังคงมีการทดลองและวิจัยกันอยู่อย่าลับๆ และต่อเนื่อง
ตำนาน เคาท์ แดร๊คคูล่า ( Count Dracula )
ในบรรดาผีของฝรั่ง คงไม่มีใครโด่งดังเกิน เคาท์ แดร๊คคูล่า แห่ง โรมาเนีย เพราะมี เรื่องเล่าขานถึงประวัติความเป็นมา ตลอดจนพฤติกรรมอันน่าสยดสยองของผีตนนี้มานานหลายศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็นจากตำนาน นิยายสยองขวัญและภาพยนต์ ซึ่งสร้างฉายโกยเงินโกยทองไปทั่วโลกแล้วหลายสิบรอบ
"Dracula" ในภาษา โรมาเนีย แปลว่า "ปีศาจ" ซึ่งแต่เดิม เคาท์ แดร๊คคูล่า เป็นเจ้าชายผู้ครองแคว้น วัลลาเซียในปัจจุบัน ซึ่งรวมอยู่ในประเทศ โรมาเนีย ทวีปยุโรป เป็นดินแดนหลังม่านเหล็ก
สำหรับผู้ให้กำเนิด เคาท์ แดร๊คคูล่า ก็ไม่ใช่ซาตานหรือจอมปีศาจอสูรกายตนไหน แต่เป็นนักประพันธ์ชาวอังกฤษ นามว่า "แบรม สโตเกอร์" ซึ่งเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดตนนี้ขึ้นมาจากความฝัน ในปี ค.ศ. 1897 เมื่อเรื่องราวที่เขียนประสบความสำเร็จ ทำให้มีมีภาคหรือตอนต่อๆ มา เพื่อตอบสนองคอนิยายแนวสยองขวัญจนโด่งดังได้รับความนิยมไปทั่วโลก หากจะนับจำนวนครั้งที่ตีพิมพ์ การแปลเป็นภาษาต่างๆ และการนำไปสร้างเป็นภาพยนต์ฉายทั้งในโรงและจอโทรทัศน์ คงต้องนำข้อมูลใส่คอมพิวเตอร์ให้ช่วยคำนวนกันเลยทีเดียว จึงไม่ต้องสงสัยว่าผีดูดเลือดรูปหล่อตนนี้ได้ทำเงินให้กับเจ้าของบทประพันธ์และผู้จัดพิมพ์ผู้สร้างภาพยนต์ไปแล้วจำนวนมากมายมหาศาลสักแค่ไหน
หากสงสัยว่า เคาท์ แดร๊คคูล่า ไปเกี่ยวข้องกับเจ้าชายวลาด ทีปีส แห่ง โรมาเนีย ได้อย่างไร ความจริงก็คือ แม้ว่ามิสเตอร์สโตเกอร์จะเขียนเรื่องราวนี้จากความฝันของเขา แต่ก็ได้เค้าโครงมาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ของโรมาเนีย เกี่ยวกับเรื่องของ เจ้าชายวลาด ทีปีส แห่งแคว้น วัลลาเซีย ผู้มีความดุร้า ทารุณ โหดเหี้ยม ไม่ผิดอะไรกับภูติผีปีศาจจนได้รับสมญานามว่า ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า
เจ้าชาย วลาด ทีปีส เป็นนักรบและนักปกครองจอมกระหายเลือด หากจับนักโทษหรือศัตรูได้ จะต้องนำไปทรมานด้วยวิธีการอันสุดแสนจะพิสดารจนตาย บ้างก็ว่านำนักโทษหรือข้าศึกไปเสียบด้วยเหล็กแหลมให้ดิ้นทุรนทุรายร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว จนกว่าจพขาดใจตาย จนชาวบ้านพร้อมใจกันถวายสมญานามให้พระองค์ว่า "วลาด นักเสียบ" ( Vlad the Impaler )
หากดูจากพฤติกรรมของเจ้าชายองค์นี้ คงเห็นว่าสมควรแล้วที่จะได้รับสมญานามว่า ยอดนักเสียบ และ จอมซาดิสต์ผู้บ้าคลั่ง จนได้รับฉายาว่าปีศาจ หรือ แดร๊คคูล่า เพราะตลอดชีวิตของพระองค์ได้ฆ่าคนด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งวิธีทรมานอย่างที่กล่าวไว้มานับหมื่นคน แต่ในวาระสุดท้าย ผลกรรมก็ตามสนองเพราะเจ้าชายพระองค์นี้ถูกข้าศึกสังหารในสนามรบ โดยตัดเอาหัวไปด้วย ฉะนั้นหากจะให้เป็นผีดูดเลือด ก็ต้องให้รับบทผีหัวขาดด้วย อิอิ
ลักษณะของ เคาท์ แดร๊คคูล่า
- เรามักจะเห็นท่านเคาท์ มาในรูปของชายหนุ่มรูปหล่อ อายุประมาณ 30 เศษ ศีรษะออกจะเถิกนิดๆ ดูภูมิฐาน สมวัย มักแต่งตัวด้วยชุดสีดำคล้ายสูทแต่ยาวรุ่มร่าม เห็นแล้วดูอึดอัด นอกจากนั้นก็ยังมีผ้าคลุมไหล่สีดำอีกผืนหนึ่ง เวลาแต่งตัวเต็มยศจึงดูคล้ายกับมนุษย์ค้างคาว
- นอกจากความหล่อชนิดคุณสาวๆ พอได้สบตาเป็นหลง ยอมให้ดูด แต่โดยดี ท่านเคาท์ยังมีเขี้ยวสเน่ห์ ด้านบนทั้งสอง เวลาแยกเขี้ยวแสยะยิ้ม ก็จะดูสยองเลยทีเดียว บ้างก็ว่า ปกติตอนไม่ได้ใช้งาน เขี้ยวก็จะหดอยู่ พอจะใช้งานหรือต้องการจะแสดงให้เห็นมันก็จะปรากฎออกมาเอง
สถานที่พำนักของท่านเคาท์แดร๊คคูล่า
- ไม่ว่าผีประเทศไหนย่อมต้องกลัวแดด กลัวแสง กันทั้งนั้น ฉะนั้นนในเวลากลางวันท่านเคาท์สุดหล่อก็ต้องนอนพักผ่อนในโลงอันหรูหรา ที่ซ่อนอยู่ในห้องใตดินของปราสาท ในห้องใต้ดินอันเป็นที่อาศัยของท่านเคาท์ ก็ยังมีโลงของบรรดาผีดูดเลือด สมุนบริวารอยู่อีกหลายใบ พอถึงตอนกลางคืน ทั้งหมดก็ลุกออกมาแยกย้ายกันไปหากิน
อาหารและวิธีออกหากิน
- เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า มันคือ "เลือด" โดยเฉพาะเลือดของบรรดาหญิงสาวๆ ยิ่งสาวพรมจรรย์ ยิ่งอร่อย (เขาว่างั้นนะ สงสัยผีชีกอแหงๆ ) โดยเคาท์จะแปลงร่างเป็นค้างคาว บิน ออกไปล่าเหยื่อ เมื่อใกล้รุ่งเช้าก็จะรีบบินกลับปราสาทมานอนในโลงเหมียนเดิม
อิทฤทธิ์ของผีดูดเลือด
- หากว่าใครถูกกัดแล้วล่ะก็ จะกลายเป็นผีดูดเลือดไปด้วย อีกทั้งเรื่องพละกำลังนั้นไม่ต้องสน เพราะต่อให้เรามีแรงมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเทียบกับมันได้เลย อีกอย่าง คือ แดร๊คคูล่าสามารถแปลงเป็นควันได้ ไม่ว่าจะหลบหนีอยู่ในที่มิดชิดแค่ไหน มันก็ตามเข้าไปจัดการได้ (เซ็ง....)
วิธีป้องกันและจัดการกับผีดูดเลือด
สิ่งที่ เคาท์และบรรดาผีดูดเลือดกลัว คือ
- แสงแดด เจอเข้าเป็นร้องจ๊าก!! จึงสบายใจได้ว่า กลางวันปลอดภัยแน่นอน
- ไม้กางเขน เพราะไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา ชาวยุโรปเชื่อว่าสามารถป้องกันผีได้อย่างดี แต่หากเป็นกางเขนหัวกลับ จะเป็นเครื่องหมายของ ซาตาน
- กระเทียม สรรพคุณ กลิ่นแรง รสชาติเผ็ดร้อน
- เหล็กแหลม นี่คือ อาวุธของพระเอกสำหรับจัดการ ท่านเคาท์ โดยการรอจนเช้าแล้ววิ่งเข้าไปห้องใต้ดินที่เก็บร่างของท่านเคาท์ เอาเหล็กแหลมตอก หรือจิ้มลงไปบนอกของผีร้าย
- น้ำ อันนี้ไม่รู้ท่านเคาท์จะกลัวทำไม หรือว่ากลัวว่าไม่มีกลิ่นสาบ 55+
"Dracula" ในภาษา โรมาเนีย แปลว่า "ปีศาจ" ซึ่งแต่เดิม เคาท์ แดร๊คคูล่า เป็นเจ้าชายผู้ครองแคว้น วัลลาเซียในปัจจุบัน ซึ่งรวมอยู่ในประเทศ โรมาเนีย ทวีปยุโรป เป็นดินแดนหลังม่านเหล็ก
สำหรับผู้ให้กำเนิด เคาท์ แดร๊คคูล่า ก็ไม่ใช่ซาตานหรือจอมปีศาจอสูรกายตนไหน แต่เป็นนักประพันธ์ชาวอังกฤษ นามว่า "แบรม สโตเกอร์" ซึ่งเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดตนนี้ขึ้นมาจากความฝัน ในปี ค.ศ. 1897 เมื่อเรื่องราวที่เขียนประสบความสำเร็จ ทำให้มีมีภาคหรือตอนต่อๆ มา เพื่อตอบสนองคอนิยายแนวสยองขวัญจนโด่งดังได้รับความนิยมไปทั่วโลก หากจะนับจำนวนครั้งที่ตีพิมพ์ การแปลเป็นภาษาต่างๆ และการนำไปสร้างเป็นภาพยนต์ฉายทั้งในโรงและจอโทรทัศน์ คงต้องนำข้อมูลใส่คอมพิวเตอร์ให้ช่วยคำนวนกันเลยทีเดียว จึงไม่ต้องสงสัยว่าผีดูดเลือดรูปหล่อตนนี้ได้ทำเงินให้กับเจ้าของบทประพันธ์และผู้จัดพิมพ์ผู้สร้างภาพยนต์ไปแล้วจำนวนมากมายมหาศาลสักแค่ไหน
หากสงสัยว่า เคาท์ แดร๊คคูล่า ไปเกี่ยวข้องกับเจ้าชายวลาด ทีปีส แห่ง โรมาเนีย ได้อย่างไร ความจริงก็คือ แม้ว่ามิสเตอร์สโตเกอร์จะเขียนเรื่องราวนี้จากความฝันของเขา แต่ก็ได้เค้าโครงมาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ของโรมาเนีย เกี่ยวกับเรื่องของ เจ้าชายวลาด ทีปีส แห่งแคว้น วัลลาเซีย ผู้มีความดุร้า ทารุณ โหดเหี้ยม ไม่ผิดอะไรกับภูติผีปีศาจจนได้รับสมญานามว่า ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า
เจ้าชาย วลาด ทีปีส เป็นนักรบและนักปกครองจอมกระหายเลือด หากจับนักโทษหรือศัตรูได้ จะต้องนำไปทรมานด้วยวิธีการอันสุดแสนจะพิสดารจนตาย บ้างก็ว่านำนักโทษหรือข้าศึกไปเสียบด้วยเหล็กแหลมให้ดิ้นทุรนทุรายร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว จนกว่าจพขาดใจตาย จนชาวบ้านพร้อมใจกันถวายสมญานามให้พระองค์ว่า "วลาด นักเสียบ" ( Vlad the Impaler )
หากดูจากพฤติกรรมของเจ้าชายองค์นี้ คงเห็นว่าสมควรแล้วที่จะได้รับสมญานามว่า ยอดนักเสียบ และ จอมซาดิสต์ผู้บ้าคลั่ง จนได้รับฉายาว่าปีศาจ หรือ แดร๊คคูล่า เพราะตลอดชีวิตของพระองค์ได้ฆ่าคนด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งวิธีทรมานอย่างที่กล่าวไว้มานับหมื่นคน แต่ในวาระสุดท้าย ผลกรรมก็ตามสนองเพราะเจ้าชายพระองค์นี้ถูกข้าศึกสังหารในสนามรบ โดยตัดเอาหัวไปด้วย ฉะนั้นหากจะให้เป็นผีดูดเลือด ก็ต้องให้รับบทผีหัวขาดด้วย อิอิ
ลักษณะของ เคาท์ แดร๊คคูล่า
- เรามักจะเห็นท่านเคาท์ มาในรูปของชายหนุ่มรูปหล่อ อายุประมาณ 30 เศษ ศีรษะออกจะเถิกนิดๆ ดูภูมิฐาน สมวัย มักแต่งตัวด้วยชุดสีดำคล้ายสูทแต่ยาวรุ่มร่าม เห็นแล้วดูอึดอัด นอกจากนั้นก็ยังมีผ้าคลุมไหล่สีดำอีกผืนหนึ่ง เวลาแต่งตัวเต็มยศจึงดูคล้ายกับมนุษย์ค้างคาว
- นอกจากความหล่อชนิดคุณสาวๆ พอได้สบตาเป็นหลง ยอมให้ดูด แต่โดยดี ท่านเคาท์ยังมีเขี้ยวสเน่ห์ ด้านบนทั้งสอง เวลาแยกเขี้ยวแสยะยิ้ม ก็จะดูสยองเลยทีเดียว บ้างก็ว่า ปกติตอนไม่ได้ใช้งาน เขี้ยวก็จะหดอยู่ พอจะใช้งานหรือต้องการจะแสดงให้เห็นมันก็จะปรากฎออกมาเอง
สถานที่พำนักของท่านเคาท์แดร๊คคูล่า
- ไม่ว่าผีประเทศไหนย่อมต้องกลัวแดด กลัวแสง กันทั้งนั้น ฉะนั้นนในเวลากลางวันท่านเคาท์สุดหล่อก็ต้องนอนพักผ่อนในโลงอันหรูหรา ที่ซ่อนอยู่ในห้องใตดินของปราสาท ในห้องใต้ดินอันเป็นที่อาศัยของท่านเคาท์ ก็ยังมีโลงของบรรดาผีดูดเลือด สมุนบริวารอยู่อีกหลายใบ พอถึงตอนกลางคืน ทั้งหมดก็ลุกออกมาแยกย้ายกันไปหากิน
อาหารและวิธีออกหากิน
- เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า มันคือ "เลือด" โดยเฉพาะเลือดของบรรดาหญิงสาวๆ ยิ่งสาวพรมจรรย์ ยิ่งอร่อย (เขาว่างั้นนะ สงสัยผีชีกอแหงๆ ) โดยเคาท์จะแปลงร่างเป็นค้างคาว บิน ออกไปล่าเหยื่อ เมื่อใกล้รุ่งเช้าก็จะรีบบินกลับปราสาทมานอนในโลงเหมียนเดิม
อิทฤทธิ์ของผีดูดเลือด
- หากว่าใครถูกกัดแล้วล่ะก็ จะกลายเป็นผีดูดเลือดไปด้วย อีกทั้งเรื่องพละกำลังนั้นไม่ต้องสน เพราะต่อให้เรามีแรงมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเทียบกับมันได้เลย อีกอย่าง คือ แดร๊คคูล่าสามารถแปลงเป็นควันได้ ไม่ว่าจะหลบหนีอยู่ในที่มิดชิดแค่ไหน มันก็ตามเข้าไปจัดการได้ (เซ็ง....)
วิธีป้องกันและจัดการกับผีดูดเลือด
สิ่งที่ เคาท์และบรรดาผีดูดเลือดกลัว คือ
- แสงแดด เจอเข้าเป็นร้องจ๊าก!! จึงสบายใจได้ว่า กลางวันปลอดภัยแน่นอน
- ไม้กางเขน เพราะไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา ชาวยุโรปเชื่อว่าสามารถป้องกันผีได้อย่างดี แต่หากเป็นกางเขนหัวกลับ จะเป็นเครื่องหมายของ ซาตาน
- กระเทียม สรรพคุณ กลิ่นแรง รสชาติเผ็ดร้อน
- เหล็กแหลม นี่คือ อาวุธของพระเอกสำหรับจัดการ ท่านเคาท์ โดยการรอจนเช้าแล้ววิ่งเข้าไปห้องใต้ดินที่เก็บร่างของท่านเคาท์ เอาเหล็กแหลมตอก หรือจิ้มลงไปบนอกของผีร้าย
- น้ำ อันนี้ไม่รู้ท่านเคาท์จะกลัวทำไม หรือว่ากลัวว่าไม่มีกลิ่นสาบ 55+
ตำนานปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ( Nine Tail Fox, คีวบิโนะโยโกะ)
"จิ้งจอกเก้าหาง" หรือ "คิวบิโนะโยโกะ" เป็นปีศาจในตำนานของญี่ปุ่น โดยคำว่า คิว หมายถึง เก้า, บิ หมายถึง หาง และ โยโกะ หมายถึง ปีศาจจิ้งจอก หรือสามารถ หมายถึง "คิทซึเนะ" จิ้งจอกในนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่น ที่มีพลังพิเศษต่างๆ
ปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง มีที่มาจากอินเดีย จีน และญี่ปุ่น ซึ่งเข้าใจว่าเป็นปิศาจตนเดียวกัน โดยน่าจะเป็นเรื่องของการสืบทอดวัฒนธรรมจากอินเดียไปยังจีนตามเส้นทางสายไหม และไปยังญี่ปุ่นโดยการเผยแพรทางวัฒนธรรมจากจีน
จิ้งจอกเก้าหางของจีน
จิ้งจอกเก้าหางของจีน มีปรากฏอยู่ในตำนานเรื่อง ฮ่องสิน ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และภูตผีปิศาจของจีน โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า พระเจ้าโจ้วหวาง (ติวอ๋อง) แห่งราชวงศ์ซางได้ไปสักการะ
เจ้าแม่หนวี่วา (หนึงวาสี) ในวิหารของเจ้าแม่ เหมือนดังปกติ รูปเคารพเจ้าแม่จะมีผ้าแพรบางๆ กั้นใบหน้าอยู่ บังเอิญตอนนั้นมีลมพัดผ่านมา ทำเอาผ้าแพรเปิดออก โจ้วหวางได้เห็นใบหน้ารูปเคารพของเจ้าแม่หนวี่วางดงามยิ่งนัก จึงออกปากมาว่า เจ้าแม่งดงามถึงเพียงนี้ หากได้มาเป็นมเหสีน่าจะดี
เมื่อเจ้าแม่หนวี่วาได้ยินดังนั้น จึงกริ้วมาก รับสั่งให้ปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง ปิศาจพิณ รวมถึงปิศาจไก่ มาทำให้โจ้วหวางเกิดความลุ่มหลงจนเป็นสาเหตุให้บ้านเมืองล่มสลายเพื่อเป็นการลงโทษ แต่อย่าให้ราษฎรต้องเป็นอันตรายหรือได้รับความเดือดร้อน
ในขณะนั้น มีหญิงงามนางหนึ่ง นามว่า ต๋าจี ลูกสาวของเจ้าเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ถูกส่งตัวเข้าวังเพื่อเป็นพระสนมของโจ้วหวาง ต๋าจี เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามมาก แต่หญิงงามมักอาภัพนัก เพราะเจ้าจิ้งจอกเก้าหางได้ลอบฆ่านาง เพื่อสวมรอยเป็นต๋าจีในการลักลอบเข้าวัง
เมื่อโจ้วหวางได้พบต๋าจีก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากรูปโฉมงดงามราวกับเจ้าแม่หนวี่วา กิริยาวาจาไพเราะอ่อนหวานราวกับเทพธิดา ยากที่จะหาหญิงใดในแผ่นดินเสมอเหมือน จิ้งจอกเก้าหางจึงได้เริ่มการทำให้โจ้วหวางลุ่มหลง อย่างไม่ได้เป็นการยากเย็นกระไรเลย เพราะนอกจากความงดงามแล้ว ยังสามารถร้องเพลง และเล่นดนตรีได้ไพเราะ อีกทั้งร่ายรำได้งดงาม ทำให้โจ้วหวางยิ่งลุ่มหลงนางจนถอนตัวไม่ขึ้น และนางก็ได้ส่งเสริมให้โจ้วหวางทำแต่เรื่องชั่วร้าย ฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลาอยู่เสมอมา
ในที่สุด ต๋าจี หรือจิ้งจอกเก้าหาง ก็ได้ยุยงให้โจ้วหวางสร้างหอสอยดาวขึ้น ยังความทุกข์ยาก และนำมาซึ่งความตายแก่ราษฎรจำนวนมากมายมหาศาลที่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานมาสร้างหอสอยดาวนี้
แต่ในที่สุด ปิศาจทั้งสามก็ถูกผู้มีวิชาปราบลง คือ เจียงจื่อหยา ซึ่งได้ฝึกวิชาบนภูเขาจนกลายเป็นผู้วิเศษ ได้รับบัญชา เทียนมิ่ง จากสวรรค์ให้มาขจัดทุกข์ของเหล่าราษฎร พร้อมทั้งนาจาศิษย์เอก
ปิศาจทั้งสามถูกจับตัวไปให้เจ้าแม่หนวี่วาตัดสินโทษ จิ้งจอกเก้าหางเห็นว่าตนสามารถทำงานที่เจ้าแม่มอบหมายให้ ทำไมจึงยังมีโทษอีก เจ้าแม่หนวี่วากล่าวว่าได้ใช้ให้ไปทำลายแต่เพียงโจ้วหวางเท่านั้น มิได้สั่งให้ไปเข่นฆ่าผู้คนมากมายเช่นนี้ การทำเกินคำสั่งจำต้องถูกลงโทษ ทั้งปิศาจพิณ และปิศาจไก่ จึงถูกลงโทษให้ตายตกไปตามกัน ส่วนจิ้งจอกเก้าหางนั้นได้หลบหนีการลงโทษไปได้
ฝ่ายโจ้วหวางนั้น เมื่อสูญเสียเมียรักไปจึงเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก เผาหอสอยดาวทิ้ง จนตัวเองตายในกองเพลิงนั้นเอง
จิ้งจอกเก้าหางของญี่ปุ่น
ตำนานของญี่ปุ่นกล่าวถึง จิ้งจอกเก้าหาง ว่า เป็นปิศาจที่หลบหนีมาแฝงตัวอยู่ในราชสำนักของญี่ปุ่นในรัชสมัยของจักรพรรดิ์โทบะ หลังจากที่หลบหนีมาจากอินเดีย และจีนมาแล้ว โดยแฝงตัวมาในร่างของหญิงงามนามว่า ทามาโมะ มาเอะ พระสนมของจักรพรรดิ์โทบะ นางทำให้จักรพรรดิ์โทบะลุ่มหลงในความงามของนาง ทำให้สุขภาพของจักรพรรดิ์โทบะก็ทรุดโทรมลงทุกวัน จนต้องมีการอัญเชิญนักพรตจากหอองเมียวมาทำพิธีปัดรังควาน จึงพบว่าในวังมีปิศาจจิ้งจอกเก้าหางสีทองแฝงตัวอยู่
พอความแตก ทามาโมะ มาเอะ จึงได้คืนร่างเป็นจิ้งจอกสีทองตัวมหึมา มีเก้าหาง เหาะหลบหนีไปบนท้องฟ้า กองทหารของจักรพรรดิ์โทบะได้ไล่ตามไปจนถึงที่ราบสูงนาสุ และต่อสู้กับปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง และสามารถสยบจิ้งจอกเก้าหางลงและกลายเป็นหินเซ็ทโชเซกิ ซึ่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นมาจนปัจจุบันนี้
หมายเหตุ : มักเกิดความสับสนในผู้ที่เริ่มต้นศึกษาซึ่งเอาตำนานของปีศาจจอกเก้าหางมารวมกับตำนานของเทพเจ้าแห่งจิ้งจอก อินาริ (Inari หรือ Oinari) ซึ่งแท้จริงเป็นคนละอย่างกัน อินารินั้นเป็น คามิ (Kami) หรือเทพเจ้าองค์หนึ่งตามตำนานของศาสนาชินโตซึ่งเป็นศาสนาดั้งเดิมของญี่ปุ่น
ปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง มีที่มาจากอินเดีย จีน และญี่ปุ่น ซึ่งเข้าใจว่าเป็นปิศาจตนเดียวกัน โดยน่าจะเป็นเรื่องของการสืบทอดวัฒนธรรมจากอินเดียไปยังจีนตามเส้นทางสายไหม และไปยังญี่ปุ่นโดยการเผยแพรทางวัฒนธรรมจากจีน
จิ้งจอกเก้าหางของจีน
จิ้งจอกเก้าหางของจีน มีปรากฏอยู่ในตำนานเรื่อง ฮ่องสิน ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และภูตผีปิศาจของจีน โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า พระเจ้าโจ้วหวาง (ติวอ๋อง) แห่งราชวงศ์ซางได้ไปสักการะ
เจ้าแม่หนวี่วา (หนึงวาสี) ในวิหารของเจ้าแม่ เหมือนดังปกติ รูปเคารพเจ้าแม่จะมีผ้าแพรบางๆ กั้นใบหน้าอยู่ บังเอิญตอนนั้นมีลมพัดผ่านมา ทำเอาผ้าแพรเปิดออก โจ้วหวางได้เห็นใบหน้ารูปเคารพของเจ้าแม่หนวี่วางดงามยิ่งนัก จึงออกปากมาว่า เจ้าแม่งดงามถึงเพียงนี้ หากได้มาเป็นมเหสีน่าจะดี
เมื่อเจ้าแม่หนวี่วาได้ยินดังนั้น จึงกริ้วมาก รับสั่งให้ปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง ปิศาจพิณ รวมถึงปิศาจไก่ มาทำให้โจ้วหวางเกิดความลุ่มหลงจนเป็นสาเหตุให้บ้านเมืองล่มสลายเพื่อเป็นการลงโทษ แต่อย่าให้ราษฎรต้องเป็นอันตรายหรือได้รับความเดือดร้อน
ในขณะนั้น มีหญิงงามนางหนึ่ง นามว่า ต๋าจี ลูกสาวของเจ้าเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ถูกส่งตัวเข้าวังเพื่อเป็นพระสนมของโจ้วหวาง ต๋าจี เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามมาก แต่หญิงงามมักอาภัพนัก เพราะเจ้าจิ้งจอกเก้าหางได้ลอบฆ่านาง เพื่อสวมรอยเป็นต๋าจีในการลักลอบเข้าวัง
เมื่อโจ้วหวางได้พบต๋าจีก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากรูปโฉมงดงามราวกับเจ้าแม่หนวี่วา กิริยาวาจาไพเราะอ่อนหวานราวกับเทพธิดา ยากที่จะหาหญิงใดในแผ่นดินเสมอเหมือน จิ้งจอกเก้าหางจึงได้เริ่มการทำให้โจ้วหวางลุ่มหลง อย่างไม่ได้เป็นการยากเย็นกระไรเลย เพราะนอกจากความงดงามแล้ว ยังสามารถร้องเพลง และเล่นดนตรีได้ไพเราะ อีกทั้งร่ายรำได้งดงาม ทำให้โจ้วหวางยิ่งลุ่มหลงนางจนถอนตัวไม่ขึ้น และนางก็ได้ส่งเสริมให้โจ้วหวางทำแต่เรื่องชั่วร้าย ฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลาอยู่เสมอมา
ในที่สุด ต๋าจี หรือจิ้งจอกเก้าหาง ก็ได้ยุยงให้โจ้วหวางสร้างหอสอยดาวขึ้น ยังความทุกข์ยาก และนำมาซึ่งความตายแก่ราษฎรจำนวนมากมายมหาศาลที่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานมาสร้างหอสอยดาวนี้
แต่ในที่สุด ปิศาจทั้งสามก็ถูกผู้มีวิชาปราบลง คือ เจียงจื่อหยา ซึ่งได้ฝึกวิชาบนภูเขาจนกลายเป็นผู้วิเศษ ได้รับบัญชา เทียนมิ่ง จากสวรรค์ให้มาขจัดทุกข์ของเหล่าราษฎร พร้อมทั้งนาจาศิษย์เอก
ปิศาจทั้งสามถูกจับตัวไปให้เจ้าแม่หนวี่วาตัดสินโทษ จิ้งจอกเก้าหางเห็นว่าตนสามารถทำงานที่เจ้าแม่มอบหมายให้ ทำไมจึงยังมีโทษอีก เจ้าแม่หนวี่วากล่าวว่าได้ใช้ให้ไปทำลายแต่เพียงโจ้วหวางเท่านั้น มิได้สั่งให้ไปเข่นฆ่าผู้คนมากมายเช่นนี้ การทำเกินคำสั่งจำต้องถูกลงโทษ ทั้งปิศาจพิณ และปิศาจไก่ จึงถูกลงโทษให้ตายตกไปตามกัน ส่วนจิ้งจอกเก้าหางนั้นได้หลบหนีการลงโทษไปได้
ฝ่ายโจ้วหวางนั้น เมื่อสูญเสียเมียรักไปจึงเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก เผาหอสอยดาวทิ้ง จนตัวเองตายในกองเพลิงนั้นเอง
จิ้งจอกเก้าหางของญี่ปุ่น
ตำนานของญี่ปุ่นกล่าวถึง จิ้งจอกเก้าหาง ว่า เป็นปิศาจที่หลบหนีมาแฝงตัวอยู่ในราชสำนักของญี่ปุ่นในรัชสมัยของจักรพรรดิ์โทบะ หลังจากที่หลบหนีมาจากอินเดีย และจีนมาแล้ว โดยแฝงตัวมาในร่างของหญิงงามนามว่า ทามาโมะ มาเอะ พระสนมของจักรพรรดิ์โทบะ นางทำให้จักรพรรดิ์โทบะลุ่มหลงในความงามของนาง ทำให้สุขภาพของจักรพรรดิ์โทบะก็ทรุดโทรมลงทุกวัน จนต้องมีการอัญเชิญนักพรตจากหอองเมียวมาทำพิธีปัดรังควาน จึงพบว่าในวังมีปิศาจจิ้งจอกเก้าหางสีทองแฝงตัวอยู่
พอความแตก ทามาโมะ มาเอะ จึงได้คืนร่างเป็นจิ้งจอกสีทองตัวมหึมา มีเก้าหาง เหาะหลบหนีไปบนท้องฟ้า กองทหารของจักรพรรดิ์โทบะได้ไล่ตามไปจนถึงที่ราบสูงนาสุ และต่อสู้กับปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง และสามารถสยบจิ้งจอกเก้าหางลงและกลายเป็นหินเซ็ทโชเซกิ ซึ่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นมาจนปัจจุบันนี้
หมายเหตุ : มักเกิดความสับสนในผู้ที่เริ่มต้นศึกษาซึ่งเอาตำนานของปีศาจจอกเก้าหางมารวมกับตำนานของเทพเจ้าแห่งจิ้งจอก อินาริ (Inari หรือ Oinari) ซึ่งแท้จริงเป็นคนละอย่างกัน อินารินั้นเป็น คามิ (Kami) หรือเทพเจ้าองค์หนึ่งตามตำนานของศาสนาชินโตซึ่งเป็นศาสนาดั้งเดิมของญี่ปุ่น
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ตำนานแอตแลนตีส
การตามหามหานคร “แอตแลนตีส” มีมาตลอดหลายยุคหลายสมัย ทั้งยังเป็นปริศนาให้เหล่าผู้ชื่นชอบเรื่องราวลี้ลับได้ค้นคว้าหาตำตอบกันมากต่อมาก ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของบทความ การค้นคว้าทางวิชาการ หนังสือ ภาพยนตร์ และเรื่องเล่าต่อๆ กันมา
โดย ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีราชบัณฑิตยสถาน ได้เขียนถึง แอตแลนตีส ไว้อย่างสมบูรณ์ ความว่า
เมื่อ 2,300 ปีก่อน มีนักปราชญ์ชาติกรีกท่านหนึ่งชื่อ "เพลโต" (Plato) ได้เรียบเรียงบทสนทนาไว้สองบทชื่อ ไทมาอุส (Timaeus) และ ครีตีอัส (Critias) บทสนทนานี้ได้กล่าวถึงทวดของเพลโตที่ชื่อว่า ครีตีอัส ได้ยินนิทานที่พ่อของท่านที่ชื่อ ดรอพิเดส (Dropides) เล่ามาอีกต่อหนึ่งว่าเพื่อนของท่านที่ชื่อ ซาลอน (Solon) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในราว 533 ปีก่อนคริตศักราช (พ.ศ.10)
"เพลโต" ผู้เผยแพร่เรื่องราวของแอตแลนตีส
ดรอพิเดสได้ฟังมาจากพระชาวอียิปต์ว่า มีอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่งที่รุ่งเรืองและมีอำนาจมาก
ชื่อ แอตแลนตีส
(Atlantis) ตั้งอยู่บนเกาะๆ หนึ่งกลางมหาสมุทรแอตแลนติก และเกาะมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมาก
แต่ในเวลาต่อมาเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ทำลายเกาะ และเกาะได้ถูกคลื่นยักษ์ในไหลท่วมจมหายไปในทะเลอย่างไม่มีใครคนใดพบเห็น
เกาะอีกเลย
ในบทสนทนาที่ชื่อครีตีอัสนั้น เพลโตได้เล่าถึงอาณาจักรแอตแลนตีสว่า ประชาชนของอาณาจักรนี้เป็นลูกหลานของโพเซดอน (Poseidon) เทพแห่งทะเล บนเกาะมีภูเขา มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ แร่และสัตว์ป่าเช่น ช้าง มากมาย อาณาจักรนี้มีกษัตริย์ปกครองถึง 10 พระองค์ ซึ่งทุกองค์เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากนางไคลโต (Cleito) และเทพโพเซดอน และทุกๆ 5 ปี กษัตริย์ที่กำลังปกครองแอตแลนตีส จะล่าวัวศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปถวายเป็นเทพบูชาแด่โพเซดอน
เพลโต ยังเล่าอีกว่าในเมืองหลวงของแอตแลนตีส มีบ่อน้ำร้อนสำหรับการอาบน้ำในฤดูหนาว และบ่อน้ำเย็นสำหรับการอาบน้ำในฤดูร้อนอีกด้วย ซึ่งสถานอาบน้ำเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็นระดับๆ สำหรับคนในวรรณะต่างๆ เช่น สำหรับกษัตริย์ คนธรรมดา และม้า ตัวเกาะนอกจากจะมีกำแพงล้อมรอบแล้วยังถูกแบ่งออกเป็นวงแหวนที่เรียงซ้อนกัน 5 วง โดยมีสะพานเชื่อมโยงระหว่างวงเหล่านั้นและเรือเดินสมุทรสามารถลอยลำเข้าไป ได้ถึงใจกลางเมือง ชาวเมืองแอตแลนตีสยังมีการศึกษาและมีความสามารถด้านการทำสงครามรวมถึงมีศีลธรรมอันสูงส่งอีกด้วย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน ความเจริญรุ่งเรืองของแอตแลนตีสก็ได้เริ่มสลายจากความเป็นอารยะ ชาวแอตแลนตีสได้เปลี่ยนเป็นคนที่กระหายอำนาจ เทพเจ้าซีอุส (Zeus) จึงได้ลงโทษอาณาจักรแอตแลนตีสทันที แต่เมื่อบทสนทนาครีตีอัส กล่าวถึงตรงนี้ เพลโตได้ตัดสินใจจบการเล่าเรื่องอย่างฉับพลัน
ในบทสนทนาที่ชื่อครีตีอัสนั้น เพลโตได้เล่าถึงอาณาจักรแอตแลนตีสว่า ประชาชนของอาณาจักรนี้เป็นลูกหลานของโพเซดอน (Poseidon) เทพแห่งทะเล บนเกาะมีภูเขา มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ แร่และสัตว์ป่าเช่น ช้าง มากมาย อาณาจักรนี้มีกษัตริย์ปกครองถึง 10 พระองค์ ซึ่งทุกองค์เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากนางไคลโต (Cleito) และเทพโพเซดอน และทุกๆ 5 ปี กษัตริย์ที่กำลังปกครองแอตแลนตีส จะล่าวัวศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปถวายเป็นเทพบูชาแด่โพเซดอน
เพลโต ยังเล่าอีกว่าในเมืองหลวงของแอตแลนตีส มีบ่อน้ำร้อนสำหรับการอาบน้ำในฤดูหนาว และบ่อน้ำเย็นสำหรับการอาบน้ำในฤดูร้อนอีกด้วย ซึ่งสถานอาบน้ำเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็นระดับๆ สำหรับคนในวรรณะต่างๆ เช่น สำหรับกษัตริย์ คนธรรมดา และม้า ตัวเกาะนอกจากจะมีกำแพงล้อมรอบแล้วยังถูกแบ่งออกเป็นวงแหวนที่เรียงซ้อนกัน 5 วง โดยมีสะพานเชื่อมโยงระหว่างวงเหล่านั้นและเรือเดินสมุทรสามารถลอยลำเข้าไป ได้ถึงใจกลางเมือง ชาวเมืองแอตแลนตีสยังมีการศึกษาและมีความสามารถด้านการทำสงครามรวมถึงมีศีลธรรมอันสูงส่งอีกด้วย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน ความเจริญรุ่งเรืองของแอตแลนตีสก็ได้เริ่มสลายจากความเป็นอารยะ ชาวแอตแลนตีสได้เปลี่ยนเป็นคนที่กระหายอำนาจ เทพเจ้าซีอุส (Zeus) จึงได้ลงโทษอาณาจักรแอตแลนตีสทันที แต่เมื่อบทสนทนาครีตีอัส กล่าวถึงตรงนี้ เพลโตได้ตัดสินใจจบการเล่าเรื่องอย่างฉับพลัน
ในปี พ.ศ. 202 50 ปีหลังจากที่เพลโตได้เสียชีวิตลง
คนรุ่นหลังและเหล่าศิษย์ก็ได้พยายามหาคำตอบว่าอาณาจักรแอตแลนตีส ของเพลโตอยู่ที่ใด
และอาณาจักรนี้มีหรือไม่
อริสโตเติล (Aristotle) ศิษย์เอกของเพลโต คิดว่า แอตแลนตีสคืออาณาจักรในจินตนาการของเพลโตที่ไม่มีตัวตน และแม้แต่ในยุคของผู้เฒ่าไพลนี (Pliny the Elder) ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์โรมันที่มีชื่อเสียงราวปี พ.ศ. 620 ความเชื่อและความไม่เชื่อในเรื่องของแอตแลนตีสก็ยังคงมีอยู่ โดยพวกที่เชื่อก็มักจะอ้างว่า เพลโตเป็นนักปราชญ์ที่มีคุณธรรม ดังนั้น ในการเขียนบทประพันธ์ใดๆ ย่อมเขียนอย่างมีเหตุผลและกลั่นกรองแล้วว่ามีความถูกต้อง ส่วนพวกที่ไม่เชื่อซึ่งก็มีมากมายจะอ้างว่าถ้า แอตแลนตีสมีจริงน่าจะมีคนพบเห็นซากของอาณาจักรบ้าง แต่ตลอดเวลากว่า 2,000 ปีนี้ ไม่มีใครเคยได้เห็น แอตแลนตีสเลย
แล้วถ้า แอตแลนตีส มีจริง อาณาจักรนี้ควรตั้งอยู่ ณ ที่ใด?
เพล โต ได้เขียนไว้ว่า แอตแลนตีส ตั้งอยู่เลย "พิลลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส" (Pillars of Hercules) หรือ เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส ออกไป ซึ่งในปัจจุบันเสาหินดังกล่าว คือช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนตีส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักดีเพราะแอตแลนติกเป็นพื้นน้ำที่ยังไม่มีใครกล้าข้าม เกาะลึกลับต่างๆ ที่อยู่ในนิยายกรีกยุคนั้นจึงมักจะถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอนแลนติกทั้งสิ้น
อริสโตเติล (Aristotle) ศิษย์เอกของเพลโต คิดว่า แอตแลนตีสคืออาณาจักรในจินตนาการของเพลโตที่ไม่มีตัวตน และแม้แต่ในยุคของผู้เฒ่าไพลนี (Pliny the Elder) ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์โรมันที่มีชื่อเสียงราวปี พ.ศ. 620 ความเชื่อและความไม่เชื่อในเรื่องของแอตแลนตีสก็ยังคงมีอยู่ โดยพวกที่เชื่อก็มักจะอ้างว่า เพลโตเป็นนักปราชญ์ที่มีคุณธรรม ดังนั้น ในการเขียนบทประพันธ์ใดๆ ย่อมเขียนอย่างมีเหตุผลและกลั่นกรองแล้วว่ามีความถูกต้อง ส่วนพวกที่ไม่เชื่อซึ่งก็มีมากมายจะอ้างว่าถ้า แอตแลนตีสมีจริงน่าจะมีคนพบเห็นซากของอาณาจักรบ้าง แต่ตลอดเวลากว่า 2,000 ปีนี้ ไม่มีใครเคยได้เห็น แอตแลนตีสเลย
แล้วถ้า แอตแลนตีส มีจริง อาณาจักรนี้ควรตั้งอยู่ ณ ที่ใด?
เพล โต ได้เขียนไว้ว่า แอตแลนตีส ตั้งอยู่เลย "พิลลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส" (Pillars of Hercules) หรือ เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส ออกไป ซึ่งในปัจจุบันเสาหินดังกล่าว คือช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนตีส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักดีเพราะแอตแลนติกเป็นพื้นน้ำที่ยังไม่มีใครกล้าข้าม เกาะลึกลับต่างๆ ที่อยู่ในนิยายกรีกยุคนั้นจึงมักจะถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอนแลนติกทั้งสิ้น
พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส ซึ่งปัจจุบันเชื่อว่าเป็น "ช่องแคบยิบรอลตา"
ตำแหน่งสีแดง คือตำแหน่งที่ "ซาร์แมสต์ " คิดว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนตีส
ใน ปี พ.ศ. 2096 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่โคลัมบัส (Columbus)
ได้พบทวีปอเมริกาแล้ว 50 ปี
นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนท่านหนึ่งชื่อ ฟรานเซสโก โลเปส โด โกมารา
(Francesco Lopes do Gomara) ได้เสนอแนะว่าหมู่เกาะอินเดียตะวันตก (West
Indies) และทวีปอเมริกา คือ แอตแลนตีส แต่ไม่นานความคิดนี้ก็เริ่มหมดความเชื่อถือไป
แต่บรรดาผู้คนที่ยังหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของ แอตแลนตีส ก็ได้คิดต่อไปว่า อาณาจักรนี้น่าจะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกมากกว่า แถวหมู่เกาะอะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่จากการศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักร แอตแลนตีส มาก่อนเลย เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมายถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่า ดังนั้นการค้นหาจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน
แต่บรรดาผู้คนที่ยังหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของ แอตแลนตีส ก็ได้คิดต่อไปว่า อาณาจักรนี้น่าจะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกมากกว่า แถวหมู่เกาะอะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่จากการศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักร แอตแลนตีส มาก่อนเลย เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมายถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่า ดังนั้นการค้นหาจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน
เกาะเทรา
ที่เข้าใจกันว่าเป็น
"แอตแลนตีส"
ใน ปี พ.ศ. 2443 เมื่อเซอร์ อาร์เธอร์ อีวานส์ (Sir
Arthur Evans) แห่งอังกฤษได้ขุดพบพระราชวังนอสซอส (Knossos) ของอารยธรรมไมนวน (Minoan) บนเกาะครีท (Crete)
ในทะลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้ หนังสือพิมพ์ ไทม์ส (The Times)
ได้พาดหัวข่าวว่าอีวานส์พบแอตแลนตีสแล้ว แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ เพราะการสำรวจทางโบราณคดีและทางธรณีวิทยาที่กระทำในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า
เกาะครีทไม่เคยจมลงใต้ทะเลเลย
ในอีก 30 ปีต่อมา เมื่อมารีนาสโตส (S. Marinastos) นักโบราณคดีชาวกรีกได้ขุดพบวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของอารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท เขาได้พบว่าวัตถุเหล่านี้ถูกฝังอยู่ภายใต้ฝุ่นภูเขาไฟ ที่ได้ระเบิดบนเกาะเทรา (Thera) เมื่อ 4,000 ปีก่อนนี้ และฝุ่นได้ลอยไกลจากเกาะเทรามาตกปกคลุมเกาะครีตซึ่งอยู่ไกลกันถึง 96 กิโลเมตร ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2482 มารีนาสโตสจึงได้เสนอแนวความคิดว่า อารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท ต้องล่มสลายเพราะได้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟบนเกาะเทรา Thera (ซึ่งปัจจุบันเรียกเกาะซานโตรีนี (Santorini)) โดยเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในครั้งนั้นได้ทำให้พระราชวังนอสซอส และเมืองต่างๆ ของอาณาจักรไมนวนพังทลาย เถ้าถ่านและฝุ่นละอองจากภูเขาไฟได้ถล่มถมทับสิ่งปรักหักพังเหล่านี้จนหมด เมื่อมารีนาสโตสได้ขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สนับสนุนความคิดนี้ ที่เมืองอโครตีรี (Akrotiri) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะเทรา เขาก็ได้พบถนนหนทาง เครื่องใช้ เช่น เครื่องปั้นดินเผามากมาย จึงแสดงให้เห็นว่าอโครตีรี ก็เคยเป็นดินแดนหนึ่งของอารยธรรม ไมนวน บนเกาะครีทเช่นกัน
ประวัติ ศาสตร์ได้จารึกไว้ว่าอารยธรรมไมนวนเป็นอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนนี้ และอาณาจักรนี้มีจุดศูนย์กลางของความเจริญอยู่ที่เกาะครีท ชาวไมนวนมีอารยธรรมสูง มีกฎหมายใช้ มีเทคโนโลยีการถลุงแร่ รู้จักการขุดคลอง อุโมงค์ และสร้างท่าเรือ นอกจากนี้ยังรู้จักสร้างบ้านให้มีที่ระบายอากาศ และสร้างห้องน้ำที่มีชักโครกได้อีกด้วย ส่วนในเรื่องค้าขายนั้นชาวไมนวนชอบค้าข้าวสาลี ทองแดง ตะกั่วและเครื่องปั้นดินเผา กับผู้คนจากที่ไกลๆ อาณาจักรนี้มีเมืองท่าสำคัญอยู่บนเกาะเทรา แต่เมื่อราว 3,500 ปีมานี้เอง อาณาจักรไมนวนก็ได้สลายมลายสูญไปในทำนองเดียวกับ แอตแลนตีส ของเพลโต
จากการศึกษาของมารีนาสโตส ในเวลาต่อมาได้ทำให้เรารู้ว่าเมื่อ 1,520 ปีก่อนคริสตกาลนั้น ภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิด 3 ครั้ง และในครั้งสุดท้ายนั้น พลังระเบิดของภูเขาไฟที่สูงถึง 1,600 เมตรมีความรุนแรงมากยิ่งกว่าการระเบิดของภูเขาไฟกรากาตัว (Krakatoa) ในอินโดนีเซียที่ระเบิดเมื่อปี พ.ศ. 2462 ถึง 5 เท่า เสียงภูเขาไฟระเบิดในครั้งนั้นสามารถได้ยินไปไกลถึง 3,000 กิโลเมตร ทำให้เกาะเทราทรุดจมลงใต้ทะเล โดยฝุ่น ควันและเขม่าภูเขาไฟได้พุ่งขึ้นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่กว่า 400 ตารางกิโลเมตรในบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟเปลี่ยนสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน เถ้าถ่านและลาวาที่หนาถึง 30 เมตรได้ทับถมอารยธรรมไมนวนบนเกาะเทราไปจนหมดสิ้น และ อีก 40 ปีต่อมา การยุบตัวของปล่องภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ทำให้ทะเลบริเวณรอบเกาะปั่นป่วน เกิดคลื่นยักษ์ (tsunami) ที่มีความสูงถึง 30 เมตร พุ่งเข้าถล่มเกาะครีต มีผลทำให้อารยธรรมไมนวนถึงจุดจบ แล้วอารยธรรมไมซีเนียน (Mycenean) ก็ได้เข้ามาแทนที่ทันที
เหตุการณ์ ปฐพีถล่มในครั้งนั้น อธิบายชะตากรรมของครีทได้อย่างสมบูรณ์และมารีนาสโตสเองก็คิดว่าเหตุการณ์นี้อธิบายการสูญสลายของ แอตแลนตีส ด้วยทฤษฎี ครีท - เทรา (Crete - Thera) จึงเป็นทฤษฎี แอตแลนตีส ที่ผู้คนยอมรับกันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ประมาณ 20 ปี ความเชื่อในทฤษฎีนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อนักประวัติศาสตร์ ได้พบหลักฐานเพิ่มเติมว่าภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิดก่อนที่พระราชวังนอสซอส บนเกาะครีทจะถูกถล่มถึง 150 ปี
ในอีก 30 ปีต่อมา เมื่อมารีนาสโตส (S. Marinastos) นักโบราณคดีชาวกรีกได้ขุดพบวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของอารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท เขาได้พบว่าวัตถุเหล่านี้ถูกฝังอยู่ภายใต้ฝุ่นภูเขาไฟ ที่ได้ระเบิดบนเกาะเทรา (Thera) เมื่อ 4,000 ปีก่อนนี้ และฝุ่นได้ลอยไกลจากเกาะเทรามาตกปกคลุมเกาะครีตซึ่งอยู่ไกลกันถึง 96 กิโลเมตร ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2482 มารีนาสโตสจึงได้เสนอแนวความคิดว่า อารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท ต้องล่มสลายเพราะได้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟบนเกาะเทรา Thera (ซึ่งปัจจุบันเรียกเกาะซานโตรีนี (Santorini)) โดยเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในครั้งนั้นได้ทำให้พระราชวังนอสซอส และเมืองต่างๆ ของอาณาจักรไมนวนพังทลาย เถ้าถ่านและฝุ่นละอองจากภูเขาไฟได้ถล่มถมทับสิ่งปรักหักพังเหล่านี้จนหมด เมื่อมารีนาสโตสได้ขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สนับสนุนความคิดนี้ ที่เมืองอโครตีรี (Akrotiri) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะเทรา เขาก็ได้พบถนนหนทาง เครื่องใช้ เช่น เครื่องปั้นดินเผามากมาย จึงแสดงให้เห็นว่าอโครตีรี ก็เคยเป็นดินแดนหนึ่งของอารยธรรม ไมนวน บนเกาะครีทเช่นกัน
ประวัติ ศาสตร์ได้จารึกไว้ว่าอารยธรรมไมนวนเป็นอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนนี้ และอาณาจักรนี้มีจุดศูนย์กลางของความเจริญอยู่ที่เกาะครีท ชาวไมนวนมีอารยธรรมสูง มีกฎหมายใช้ มีเทคโนโลยีการถลุงแร่ รู้จักการขุดคลอง อุโมงค์ และสร้างท่าเรือ นอกจากนี้ยังรู้จักสร้างบ้านให้มีที่ระบายอากาศ และสร้างห้องน้ำที่มีชักโครกได้อีกด้วย ส่วนในเรื่องค้าขายนั้นชาวไมนวนชอบค้าข้าวสาลี ทองแดง ตะกั่วและเครื่องปั้นดินเผา กับผู้คนจากที่ไกลๆ อาณาจักรนี้มีเมืองท่าสำคัญอยู่บนเกาะเทรา แต่เมื่อราว 3,500 ปีมานี้เอง อาณาจักรไมนวนก็ได้สลายมลายสูญไปในทำนองเดียวกับ แอตแลนตีส ของเพลโต
จากการศึกษาของมารีนาสโตส ในเวลาต่อมาได้ทำให้เรารู้ว่าเมื่อ 1,520 ปีก่อนคริสตกาลนั้น ภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิด 3 ครั้ง และในครั้งสุดท้ายนั้น พลังระเบิดของภูเขาไฟที่สูงถึง 1,600 เมตรมีความรุนแรงมากยิ่งกว่าการระเบิดของภูเขาไฟกรากาตัว (Krakatoa) ในอินโดนีเซียที่ระเบิดเมื่อปี พ.ศ. 2462 ถึง 5 เท่า เสียงภูเขาไฟระเบิดในครั้งนั้นสามารถได้ยินไปไกลถึง 3,000 กิโลเมตร ทำให้เกาะเทราทรุดจมลงใต้ทะเล โดยฝุ่น ควันและเขม่าภูเขาไฟได้พุ่งขึ้นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่กว่า 400 ตารางกิโลเมตรในบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟเปลี่ยนสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน เถ้าถ่านและลาวาที่หนาถึง 30 เมตรได้ทับถมอารยธรรมไมนวนบนเกาะเทราไปจนหมดสิ้น และ อีก 40 ปีต่อมา การยุบตัวของปล่องภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ทำให้ทะเลบริเวณรอบเกาะปั่นป่วน เกิดคลื่นยักษ์ (tsunami) ที่มีความสูงถึง 30 เมตร พุ่งเข้าถล่มเกาะครีต มีผลทำให้อารยธรรมไมนวนถึงจุดจบ แล้วอารยธรรมไมซีเนียน (Mycenean) ก็ได้เข้ามาแทนที่ทันที
เหตุการณ์ ปฐพีถล่มในครั้งนั้น อธิบายชะตากรรมของครีทได้อย่างสมบูรณ์และมารีนาสโตสเองก็คิดว่าเหตุการณ์นี้อธิบายการสูญสลายของ แอตแลนตีส ด้วยทฤษฎี ครีท - เทรา (Crete - Thera) จึงเป็นทฤษฎี แอตแลนตีส ที่ผู้คนยอมรับกันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ประมาณ 20 ปี ความเชื่อในทฤษฎีนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อนักประวัติศาสตร์ ได้พบหลักฐานเพิ่มเติมว่าภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิดก่อนที่พระราชวังนอสซอส บนเกาะครีทจะถูกถล่มถึง 150 ปี
มีหนังสือชื่อ มิสทรี ออฟ ดิ แอนเชียน เวิลร์ด (Mysteries of the
Ancient World) หรือปริศนาลึกลับแห่งโลกโบราณ ซึ่งมี ฟรานเดอร์ (J.
Flanders) เป็นบรรณาธิการ และออกวางขาย ปลายปี 2541 กล่าวถึง แอตแลนตีส ว่า
เพลโต เป็นบุคคลเดียว ที่ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ และตั้งแต่นั้นมาใครก็ตามที่พูดถึง แอตแลนตีส ต่างก็จะอ้างเพลโตทั้งสิ้น จากเอกสารและหลักฐานทั้งหลาย ที่ปรากฏไม่มีใครรู้อย่าง 100% ว่า เพลโตได้ตั้งใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อลวงโลก หรือไม่ คนบางคนคิดว่าปราชญ์ โซลอน (Solon) ที่เพลโตอ้างว่าได้ยินเรื่อง แอตแลนตีส จากพระชาวอียิปต์นั้นได้นำเรื่อง นี้มาบอกต่อๆ กันไปจากปากต่อปาก จึงอาจจะทำให้เนื้อหาของเรื่อง ผิดเพี้ยนไปบ้าง
และถ้าแอตแลนตีส มีจริงดังที่ เพลโต เขียนไว้ เหตุใดพระอียิปต์ จึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ เฮโรโดตัส ( Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาติกรีกที่ได้เคยไปเยือนอียิปต์เมื่อ 450 ปีก่อนคริสต์กาลฟัง และถ้าข้อมูล แอตแลนตีส มาจากพระอียิปต์แต่เพียงแห่งเดียวจริง และข้อมูลนั้นมีเรื่องที่เกี่ยวกับกรีกด้วย เราก็ไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่า ข้อมูลของชาวอียิปต์ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวกรีกเมื่อ 4,000 ปีก่อนนั้นเป็นเรื่องราวที่ถูกต้อง 100% หรือเปล่า
เพลโต เป็นบุคคลเดียว ที่ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ และตั้งแต่นั้นมาใครก็ตามที่พูดถึง แอตแลนตีส ต่างก็จะอ้างเพลโตทั้งสิ้น จากเอกสารและหลักฐานทั้งหลาย ที่ปรากฏไม่มีใครรู้อย่าง 100% ว่า เพลโตได้ตั้งใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อลวงโลก หรือไม่ คนบางคนคิดว่าปราชญ์ โซลอน (Solon) ที่เพลโตอ้างว่าได้ยินเรื่อง แอตแลนตีส จากพระชาวอียิปต์นั้นได้นำเรื่อง นี้มาบอกต่อๆ กันไปจากปากต่อปาก จึงอาจจะทำให้เนื้อหาของเรื่อง ผิดเพี้ยนไปบ้าง
และถ้าแอตแลนตีส มีจริงดังที่ เพลโต เขียนไว้ เหตุใดพระอียิปต์ จึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ เฮโรโดตัส ( Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาติกรีกที่ได้เคยไปเยือนอียิปต์เมื่อ 450 ปีก่อนคริสต์กาลฟัง และถ้าข้อมูล แอตแลนตีส มาจากพระอียิปต์แต่เพียงแห่งเดียวจริง และข้อมูลนั้นมีเรื่องที่เกี่ยวกับกรีกด้วย เราก็ไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่า ข้อมูลของชาวอียิปต์ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวกรีกเมื่อ 4,000 ปีก่อนนั้นเป็นเรื่องราวที่ถูกต้อง 100% หรือเปล่า
ประเด็น เหล่านี้ทำให้นักวิชาการในปัจจุบันส่วนใหญ่เชื่อว่า
อริสโตเติล คิดว่าถูกที่ว่า แอตแลนตีส คืออาณาจักรในนิยายที่ไม่มีตัวตน และ เพลโต ได้เขียนเรื่อง
แอตแลนตีส ขึ้นมาเพื่อสอนใจ โดยใช้ข้อมูลภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์มาประกอบอย่างค่อนข้างสมจริงตามแนวหนังสือชื่อ
เดอะ รีพับบลิก (The
Republic) ของ เพลโต เอง
นักวิชาการเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นว่านิทานเรื่อง แอตแลนตีส มีเนื้อหาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์ของ สงครามเปโลโปนนีเชียน (Peloponnesian) ที่เกิดขึ้นเมื่อ 431-404 ปีก่อนคริสต์กาล โดยเพลโตได้สมมติให้ แอตแลนตีส แทนเอเธนส์ (Athens) และเอเธอนส์ คือสปาร์ตา (Sparta) ในสงครามครั้งนั้นได้มีคลื่นยักษ์พุ่งเข้าถล่มป้อมปราการของฝ่ายเอเธนส์บนเกาะ แอตาแลนเต (Atalante) จนราบเรียบ
ถึงแม้ เพลโต จะเขียนเรื่อง แอตแลนตีส ขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลจากหลายแห่งก็ตาม แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่นิยายไปทั้งหมด คนเหล่านี้มีความรู้สึกอยากจะให้ แอตแลนตีส มีจริง และอยากจะเห็นแอตแลนตีสสักครั้ง โดยอยากจะเห็นการผจญภัยในการค้นหา แอตแลนตีส ใต้ทะเล เหมือนเช่นที่ตอนกัปตันนีโม (Nemo) ได้ใช้เรือดำน้ำชื่อนอติลุส (Nautilus) ลงไปสำรวจใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ในนวนิยายเรื่อง ใต้ทะเล 20,000 โยชน์ (Twenty Thousand Leagues Under the Sea) ของจูลส์ เวิร์นส์ (Jules Verne) และกัปตันนีโมได้เห็นซากปรักหักพังของเมือง เห็นซากกำแพงเมืองและเสาหินต่างๆ ใต้ทะเล และที่ประตูเมืองนั้นมีคำจารึกว่า แอตแลนตีส
นักวิจัยสหรัฐมั่นใจ แอตแลนติส นครแห่งตำนานจมอยู่แถว ไซปรัส
รอย เตอร์ บีบีซีนิวส์ เอเอฟพี นักวิจัยสหรัฐ เปิดเผยว่าได้ค้นพบ แอตแลนติส เมืองแห่งอารยธรรมที่หายไปในห้วงทะเลลึกแถบไซปรัส พร้อมทั้งโชว์ทฤษฎีการสำรวจที่น่าทึ่งมากว่าทศวรรษ แต่นักฟิสิกส์เยอรมันแย้งว่าพื้นที่บริเวณนั้นภูเขาไฟเคยพ่นหินละลายเมื่อ 1 แสนปีก่อน ไม่น่าใช่เมืองของเพลโต
โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) เปิดเผยว่า แอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตกาล ทำให้บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ แอตแลนติส จมหายลงไปในคราวนั้น เชื่อว่าจมลึกลงไปถึง 1 ไมล์หรือประมาณ 1.6 กิโลเมตร ใต้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria)
นักวิชาการเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นว่านิทานเรื่อง แอตแลนตีส มีเนื้อหาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์ของ สงครามเปโลโปนนีเชียน (Peloponnesian) ที่เกิดขึ้นเมื่อ 431-404 ปีก่อนคริสต์กาล โดยเพลโตได้สมมติให้ แอตแลนตีส แทนเอเธนส์ (Athens) และเอเธอนส์ คือสปาร์ตา (Sparta) ในสงครามครั้งนั้นได้มีคลื่นยักษ์พุ่งเข้าถล่มป้อมปราการของฝ่ายเอเธนส์บนเกาะ แอตาแลนเต (Atalante) จนราบเรียบ
ถึงแม้ เพลโต จะเขียนเรื่อง แอตแลนตีส ขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลจากหลายแห่งก็ตาม แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่นิยายไปทั้งหมด คนเหล่านี้มีความรู้สึกอยากจะให้ แอตแลนตีส มีจริง และอยากจะเห็นแอตแลนตีสสักครั้ง โดยอยากจะเห็นการผจญภัยในการค้นหา แอตแลนตีส ใต้ทะเล เหมือนเช่นที่ตอนกัปตันนีโม (Nemo) ได้ใช้เรือดำน้ำชื่อนอติลุส (Nautilus) ลงไปสำรวจใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ในนวนิยายเรื่อง ใต้ทะเล 20,000 โยชน์ (Twenty Thousand Leagues Under the Sea) ของจูลส์ เวิร์นส์ (Jules Verne) และกัปตันนีโมได้เห็นซากปรักหักพังของเมือง เห็นซากกำแพงเมืองและเสาหินต่างๆ ใต้ทะเล และที่ประตูเมืองนั้นมีคำจารึกว่า แอตแลนตีส
นักวิจัยสหรัฐมั่นใจ แอตแลนติส นครแห่งตำนานจมอยู่แถว ไซปรัส
รอย เตอร์ บีบีซีนิวส์ เอเอฟพี นักวิจัยสหรัฐ เปิดเผยว่าได้ค้นพบ แอตแลนติส เมืองแห่งอารยธรรมที่หายไปในห้วงทะเลลึกแถบไซปรัส พร้อมทั้งโชว์ทฤษฎีการสำรวจที่น่าทึ่งมากว่าทศวรรษ แต่นักฟิสิกส์เยอรมันแย้งว่าพื้นที่บริเวณนั้นภูเขาไฟเคยพ่นหินละลายเมื่อ 1 แสนปีก่อน ไม่น่าใช่เมืองของเพลโต
โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) เปิดเผยว่า แอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตกาล ทำให้บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ แอตแลนติส จมหายลงไปในคราวนั้น เชื่อว่าจมลึกลงไปถึง 1 ไมล์หรือประมาณ 1.6 กิโลเมตร ใต้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria)
พวก เราพบมันแล้ว ซาร์แมสต์ ผู้นำคณะสำรวจที่ตระเวณไปในทะเลกว่า
50 ไมล์ตามแถบชายฝั่งตอนใต้ของไซปรัส
จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ
รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย
โดยเชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนตีส อย่างไรก็ดีคงต้องมีการสำรวจต่อๆ
ไปอีก
พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ในรูปแบบของเศษอิฐหรือปูนว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นที่ฝังอยู่ในตะกอนใต้น้ำลึกลงไปหลายเมตร แต่ว่าจากการสำรวจอย่างละเอียดและหลักฐานอื่นๆ ทำให้เชื่อว่าแอตแลนติสน่าจะอยู่ตรงนั้น ซาร์แมสต์ เผย
พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ในรูปแบบของเศษอิฐหรือปูนว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นที่ฝังอยู่ในตะกอนใต้น้ำลึกลงไปหลายเมตร แต่ว่าจากการสำรวจอย่างละเอียดและหลักฐานอื่นๆ ทำให้เชื่อว่าแอตแลนติสน่าจะอยู่ตรงนั้น ซาร์แมสต์ เผย
อย่างไรก็ดี ขณะที่ซาร์แมสต์ได้เปิดเผยข้อค้นพบต่อสาธารณชน ณ เมืองท่าลิมาสโซล (Limassol) เขายังได้นำภาพเคลื่อนไหวจำลอง เนิน ที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยจินตนาการภาพย้อนหลังไปหลายศตวรรษ
ตามคำกล่าวอ้างของ เพลโต (Plato) ปราชญ์ชาวกรีกโบราณ ระบุว่า แอตแลนตีสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ และได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าอย่างมาก อยู่ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ส่วนทฤษฎีที่พยายามอธิบายถึงเหตุผลแห่งการหายไปของอาณาจักรแอตแลนตีสนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภัยจากธรรมชาติคุกคาม หรือจากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองมีความละโมบและกระหายอำนาจ เทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจจะเป็นแค่เพียงภาพฝันของเพลโตก็เป็นได้
ซาร์ แมสต์ เปิดเผยต่ออีกว่า
เขาเดินทางไปไซปรัสตามร่องรอยในบทสนทนาของเพลโต ที่กล่าวว่า แอตแลนตีส อยู่ตรงข้ามกับ
พิลาร์ส ออฟ เฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) ซึ่งเชื่อกันว่านั่นก็คือ ช่องแคบยิบรอลตาร์
(Straits of Gibraltar) จึงทำให้นักสำรวจหลายๆ คนมุ่งความสนใจไปที่มหาสมุทรแอตแลนติก
ไอร์แลนด์ หรืออะซอเรส (Azores) ของโปรตุเกส
ผู้คนที่พลาดสิ่งเหล่านี้ไป
นั่นก็เพราะไม่ได้ทำการบ้านให้ดี ผู้คนต่างรู้ไม่จริง ถ้าต้องการที่จะเข้าใจปริศนาลึกลับแห่งแอตแลนติก
จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณ ข้ออ้างอิงทางศาสนา วัฒนธรรมและร่องรอยของชาวสุเมเรียน
(Sumerian) ซาร์แมสต์กล่าวแต่ยังไม่ทันที่ซาร์แมสต์จะกลับไปฝันหวานกับข้อค้นพบของเขา คริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน จากศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลและบรรยากาศในฮัมบรูก ก็ออกมาแย้งผ่านหนังสือพิมพ์เยอรมนีว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมงานชาวเนเธอร์แลนด์เคยเดินเรือไปสำรวจบริเวณที่ ซาร์แมสต์ระบุว่าเป็นแอตแลนตีสมาก่อนแล้ว
ก่อน หน้านี้ได้มีความพยายามเกาะรอยคำกล่าวของเพลโตเช่นกัน
โดยนักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ตลอดจนทะเลจีนใต้
โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอุทยานแห่งชาติดอนานา
ของเสปน (Donana)
จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University
Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยม
2 หลัง จมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ
ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่า สิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ
วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต
อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครองนครแอตแลนตีส อย่างไรก็ตาม หลังจากการเผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมออกไป
ก็ยังไม่มีใครได้ลองดำลึกลงไปขุดพิสูจน์พื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใดเลย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)