การตามหามหานคร “แอตแลนตีส” มีมาตลอดหลายยุคหลายสมัย ทั้งยังเป็นปริศนาให้เหล่าผู้ชื่นชอบเรื่องราวลี้ลับได้ค้นคว้าหาตำตอบกันมากต่อมาก ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของบทความ การค้นคว้าทางวิชาการ หนังสือ ภาพยนตร์ และเรื่องเล่าต่อๆ กันมา
โดย ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีราชบัณฑิตยสถาน ได้เขียนถึง แอตแลนตีส ไว้อย่างสมบูรณ์ ความว่า
เมื่อ 2,300 ปีก่อน มีนักปราชญ์ชาติกรีกท่านหนึ่งชื่อ "เพลโต" (Plato) ได้เรียบเรียงบทสนทนาไว้สองบทชื่อ ไทมาอุส (Timaeus) และ ครีตีอัส (Critias) บทสนทนานี้ได้กล่าวถึงทวดของเพลโตที่ชื่อว่า ครีตีอัส ได้ยินนิทานที่พ่อของท่านที่ชื่อ ดรอพิเดส (Dropides) เล่ามาอีกต่อหนึ่งว่าเพื่อนของท่านที่ชื่อ ซาลอน (Solon) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในราว 533 ปีก่อนคริตศักราช (พ.ศ.10)
"เพลโต" ผู้เผยแพร่เรื่องราวของแอตแลนตีส
ดรอพิเดสได้ฟังมาจากพระชาวอียิปต์ว่า มีอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่งที่รุ่งเรืองและมีอำนาจมาก
ชื่อ แอตแลนตีส
(Atlantis) ตั้งอยู่บนเกาะๆ หนึ่งกลางมหาสมุทรแอตแลนติก และเกาะมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมาก
แต่ในเวลาต่อมาเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ทำลายเกาะ และเกาะได้ถูกคลื่นยักษ์ในไหลท่วมจมหายไปในทะเลอย่างไม่มีใครคนใดพบเห็น
เกาะอีกเลย
ในบทสนทนาที่ชื่อครีตีอัสนั้น เพลโตได้เล่าถึงอาณาจักรแอตแลนตีสว่า ประชาชนของอาณาจักรนี้เป็นลูกหลานของโพเซดอน (Poseidon) เทพแห่งทะเล บนเกาะมีภูเขา มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ แร่และสัตว์ป่าเช่น ช้าง มากมาย อาณาจักรนี้มีกษัตริย์ปกครองถึง 10 พระองค์ ซึ่งทุกองค์เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากนางไคลโต (Cleito) และเทพโพเซดอน และทุกๆ 5 ปี กษัตริย์ที่กำลังปกครองแอตแลนตีส จะล่าวัวศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปถวายเป็นเทพบูชาแด่โพเซดอน
เพลโต ยังเล่าอีกว่าในเมืองหลวงของแอตแลนตีส มีบ่อน้ำร้อนสำหรับการอาบน้ำในฤดูหนาว และบ่อน้ำเย็นสำหรับการอาบน้ำในฤดูร้อนอีกด้วย ซึ่งสถานอาบน้ำเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็นระดับๆ สำหรับคนในวรรณะต่างๆ เช่น สำหรับกษัตริย์ คนธรรมดา และม้า ตัวเกาะนอกจากจะมีกำแพงล้อมรอบแล้วยังถูกแบ่งออกเป็นวงแหวนที่เรียงซ้อนกัน 5 วง โดยมีสะพานเชื่อมโยงระหว่างวงเหล่านั้นและเรือเดินสมุทรสามารถลอยลำเข้าไป ได้ถึงใจกลางเมือง ชาวเมืองแอตแลนตีสยังมีการศึกษาและมีความสามารถด้านการทำสงครามรวมถึงมีศีลธรรมอันสูงส่งอีกด้วย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน ความเจริญรุ่งเรืองของแอตแลนตีสก็ได้เริ่มสลายจากความเป็นอารยะ ชาวแอตแลนตีสได้เปลี่ยนเป็นคนที่กระหายอำนาจ เทพเจ้าซีอุส (Zeus) จึงได้ลงโทษอาณาจักรแอตแลนตีสทันที แต่เมื่อบทสนทนาครีตีอัส กล่าวถึงตรงนี้ เพลโตได้ตัดสินใจจบการเล่าเรื่องอย่างฉับพลัน
ในบทสนทนาที่ชื่อครีตีอัสนั้น เพลโตได้เล่าถึงอาณาจักรแอตแลนตีสว่า ประชาชนของอาณาจักรนี้เป็นลูกหลานของโพเซดอน (Poseidon) เทพแห่งทะเล บนเกาะมีภูเขา มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ แร่และสัตว์ป่าเช่น ช้าง มากมาย อาณาจักรนี้มีกษัตริย์ปกครองถึง 10 พระองค์ ซึ่งทุกองค์เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากนางไคลโต (Cleito) และเทพโพเซดอน และทุกๆ 5 ปี กษัตริย์ที่กำลังปกครองแอตแลนตีส จะล่าวัวศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปถวายเป็นเทพบูชาแด่โพเซดอน
เพลโต ยังเล่าอีกว่าในเมืองหลวงของแอตแลนตีส มีบ่อน้ำร้อนสำหรับการอาบน้ำในฤดูหนาว และบ่อน้ำเย็นสำหรับการอาบน้ำในฤดูร้อนอีกด้วย ซึ่งสถานอาบน้ำเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็นระดับๆ สำหรับคนในวรรณะต่างๆ เช่น สำหรับกษัตริย์ คนธรรมดา และม้า ตัวเกาะนอกจากจะมีกำแพงล้อมรอบแล้วยังถูกแบ่งออกเป็นวงแหวนที่เรียงซ้อนกัน 5 วง โดยมีสะพานเชื่อมโยงระหว่างวงเหล่านั้นและเรือเดินสมุทรสามารถลอยลำเข้าไป ได้ถึงใจกลางเมือง ชาวเมืองแอตแลนตีสยังมีการศึกษาและมีความสามารถด้านการทำสงครามรวมถึงมีศีลธรรมอันสูงส่งอีกด้วย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน ความเจริญรุ่งเรืองของแอตแลนตีสก็ได้เริ่มสลายจากความเป็นอารยะ ชาวแอตแลนตีสได้เปลี่ยนเป็นคนที่กระหายอำนาจ เทพเจ้าซีอุส (Zeus) จึงได้ลงโทษอาณาจักรแอตแลนตีสทันที แต่เมื่อบทสนทนาครีตีอัส กล่าวถึงตรงนี้ เพลโตได้ตัดสินใจจบการเล่าเรื่องอย่างฉับพลัน
ในปี พ.ศ. 202 50 ปีหลังจากที่เพลโตได้เสียชีวิตลง
คนรุ่นหลังและเหล่าศิษย์ก็ได้พยายามหาคำตอบว่าอาณาจักรแอตแลนตีส ของเพลโตอยู่ที่ใด
และอาณาจักรนี้มีหรือไม่
อริสโตเติล (Aristotle) ศิษย์เอกของเพลโต คิดว่า แอตแลนตีสคืออาณาจักรในจินตนาการของเพลโตที่ไม่มีตัวตน และแม้แต่ในยุคของผู้เฒ่าไพลนี (Pliny the Elder) ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์โรมันที่มีชื่อเสียงราวปี พ.ศ. 620 ความเชื่อและความไม่เชื่อในเรื่องของแอตแลนตีสก็ยังคงมีอยู่ โดยพวกที่เชื่อก็มักจะอ้างว่า เพลโตเป็นนักปราชญ์ที่มีคุณธรรม ดังนั้น ในการเขียนบทประพันธ์ใดๆ ย่อมเขียนอย่างมีเหตุผลและกลั่นกรองแล้วว่ามีความถูกต้อง ส่วนพวกที่ไม่เชื่อซึ่งก็มีมากมายจะอ้างว่าถ้า แอตแลนตีสมีจริงน่าจะมีคนพบเห็นซากของอาณาจักรบ้าง แต่ตลอดเวลากว่า 2,000 ปีนี้ ไม่มีใครเคยได้เห็น แอตแลนตีสเลย
แล้วถ้า แอตแลนตีส มีจริง อาณาจักรนี้ควรตั้งอยู่ ณ ที่ใด?
เพล โต ได้เขียนไว้ว่า แอตแลนตีส ตั้งอยู่เลย "พิลลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส" (Pillars of Hercules) หรือ เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส ออกไป ซึ่งในปัจจุบันเสาหินดังกล่าว คือช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนตีส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักดีเพราะแอตแลนติกเป็นพื้นน้ำที่ยังไม่มีใครกล้าข้าม เกาะลึกลับต่างๆ ที่อยู่ในนิยายกรีกยุคนั้นจึงมักจะถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอนแลนติกทั้งสิ้น
อริสโตเติล (Aristotle) ศิษย์เอกของเพลโต คิดว่า แอตแลนตีสคืออาณาจักรในจินตนาการของเพลโตที่ไม่มีตัวตน และแม้แต่ในยุคของผู้เฒ่าไพลนี (Pliny the Elder) ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์โรมันที่มีชื่อเสียงราวปี พ.ศ. 620 ความเชื่อและความไม่เชื่อในเรื่องของแอตแลนตีสก็ยังคงมีอยู่ โดยพวกที่เชื่อก็มักจะอ้างว่า เพลโตเป็นนักปราชญ์ที่มีคุณธรรม ดังนั้น ในการเขียนบทประพันธ์ใดๆ ย่อมเขียนอย่างมีเหตุผลและกลั่นกรองแล้วว่ามีความถูกต้อง ส่วนพวกที่ไม่เชื่อซึ่งก็มีมากมายจะอ้างว่าถ้า แอตแลนตีสมีจริงน่าจะมีคนพบเห็นซากของอาณาจักรบ้าง แต่ตลอดเวลากว่า 2,000 ปีนี้ ไม่มีใครเคยได้เห็น แอตแลนตีสเลย
แล้วถ้า แอตแลนตีส มีจริง อาณาจักรนี้ควรตั้งอยู่ ณ ที่ใด?
เพล โต ได้เขียนไว้ว่า แอตแลนตีส ตั้งอยู่เลย "พิลลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส" (Pillars of Hercules) หรือ เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส ออกไป ซึ่งในปัจจุบันเสาหินดังกล่าว คือช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนตีส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักดีเพราะแอตแลนติกเป็นพื้นน้ำที่ยังไม่มีใครกล้าข้าม เกาะลึกลับต่างๆ ที่อยู่ในนิยายกรีกยุคนั้นจึงมักจะถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอนแลนติกทั้งสิ้น
พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส ซึ่งปัจจุบันเชื่อว่าเป็น "ช่องแคบยิบรอลตา"
ตำแหน่งสีแดง คือตำแหน่งที่ "ซาร์แมสต์ " คิดว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนตีส
ใน ปี พ.ศ. 2096 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่โคลัมบัส (Columbus)
ได้พบทวีปอเมริกาแล้ว 50 ปี
นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนท่านหนึ่งชื่อ ฟรานเซสโก โลเปส โด โกมารา
(Francesco Lopes do Gomara) ได้เสนอแนะว่าหมู่เกาะอินเดียตะวันตก (West
Indies) และทวีปอเมริกา คือ แอตแลนตีส แต่ไม่นานความคิดนี้ก็เริ่มหมดความเชื่อถือไป
แต่บรรดาผู้คนที่ยังหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของ แอตแลนตีส ก็ได้คิดต่อไปว่า อาณาจักรนี้น่าจะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกมากกว่า แถวหมู่เกาะอะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่จากการศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักร แอตแลนตีส มาก่อนเลย เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมายถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่า ดังนั้นการค้นหาจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน
แต่บรรดาผู้คนที่ยังหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของ แอตแลนตีส ก็ได้คิดต่อไปว่า อาณาจักรนี้น่าจะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกมากกว่า แถวหมู่เกาะอะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่จากการศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักร แอตแลนตีส มาก่อนเลย เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมายถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่า ดังนั้นการค้นหาจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน
เกาะเทรา
ที่เข้าใจกันว่าเป็น
"แอตแลนตีส"
ใน ปี พ.ศ. 2443 เมื่อเซอร์ อาร์เธอร์ อีวานส์ (Sir
Arthur Evans) แห่งอังกฤษได้ขุดพบพระราชวังนอสซอส (Knossos) ของอารยธรรมไมนวน (Minoan) บนเกาะครีท (Crete)
ในทะลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้ หนังสือพิมพ์ ไทม์ส (The Times)
ได้พาดหัวข่าวว่าอีวานส์พบแอตแลนตีสแล้ว แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ เพราะการสำรวจทางโบราณคดีและทางธรณีวิทยาที่กระทำในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า
เกาะครีทไม่เคยจมลงใต้ทะเลเลย
ในอีก 30 ปีต่อมา เมื่อมารีนาสโตส (S. Marinastos) นักโบราณคดีชาวกรีกได้ขุดพบวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของอารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท เขาได้พบว่าวัตถุเหล่านี้ถูกฝังอยู่ภายใต้ฝุ่นภูเขาไฟ ที่ได้ระเบิดบนเกาะเทรา (Thera) เมื่อ 4,000 ปีก่อนนี้ และฝุ่นได้ลอยไกลจากเกาะเทรามาตกปกคลุมเกาะครีตซึ่งอยู่ไกลกันถึง 96 กิโลเมตร ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2482 มารีนาสโตสจึงได้เสนอแนวความคิดว่า อารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท ต้องล่มสลายเพราะได้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟบนเกาะเทรา Thera (ซึ่งปัจจุบันเรียกเกาะซานโตรีนี (Santorini)) โดยเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในครั้งนั้นได้ทำให้พระราชวังนอสซอส และเมืองต่างๆ ของอาณาจักรไมนวนพังทลาย เถ้าถ่านและฝุ่นละอองจากภูเขาไฟได้ถล่มถมทับสิ่งปรักหักพังเหล่านี้จนหมด เมื่อมารีนาสโตสได้ขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สนับสนุนความคิดนี้ ที่เมืองอโครตีรี (Akrotiri) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะเทรา เขาก็ได้พบถนนหนทาง เครื่องใช้ เช่น เครื่องปั้นดินเผามากมาย จึงแสดงให้เห็นว่าอโครตีรี ก็เคยเป็นดินแดนหนึ่งของอารยธรรม ไมนวน บนเกาะครีทเช่นกัน
ประวัติ ศาสตร์ได้จารึกไว้ว่าอารยธรรมไมนวนเป็นอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนนี้ และอาณาจักรนี้มีจุดศูนย์กลางของความเจริญอยู่ที่เกาะครีท ชาวไมนวนมีอารยธรรมสูง มีกฎหมายใช้ มีเทคโนโลยีการถลุงแร่ รู้จักการขุดคลอง อุโมงค์ และสร้างท่าเรือ นอกจากนี้ยังรู้จักสร้างบ้านให้มีที่ระบายอากาศ และสร้างห้องน้ำที่มีชักโครกได้อีกด้วย ส่วนในเรื่องค้าขายนั้นชาวไมนวนชอบค้าข้าวสาลี ทองแดง ตะกั่วและเครื่องปั้นดินเผา กับผู้คนจากที่ไกลๆ อาณาจักรนี้มีเมืองท่าสำคัญอยู่บนเกาะเทรา แต่เมื่อราว 3,500 ปีมานี้เอง อาณาจักรไมนวนก็ได้สลายมลายสูญไปในทำนองเดียวกับ แอตแลนตีส ของเพลโต
จากการศึกษาของมารีนาสโตส ในเวลาต่อมาได้ทำให้เรารู้ว่าเมื่อ 1,520 ปีก่อนคริสตกาลนั้น ภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิด 3 ครั้ง และในครั้งสุดท้ายนั้น พลังระเบิดของภูเขาไฟที่สูงถึง 1,600 เมตรมีความรุนแรงมากยิ่งกว่าการระเบิดของภูเขาไฟกรากาตัว (Krakatoa) ในอินโดนีเซียที่ระเบิดเมื่อปี พ.ศ. 2462 ถึง 5 เท่า เสียงภูเขาไฟระเบิดในครั้งนั้นสามารถได้ยินไปไกลถึง 3,000 กิโลเมตร ทำให้เกาะเทราทรุดจมลงใต้ทะเล โดยฝุ่น ควันและเขม่าภูเขาไฟได้พุ่งขึ้นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่กว่า 400 ตารางกิโลเมตรในบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟเปลี่ยนสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน เถ้าถ่านและลาวาที่หนาถึง 30 เมตรได้ทับถมอารยธรรมไมนวนบนเกาะเทราไปจนหมดสิ้น และ อีก 40 ปีต่อมา การยุบตัวของปล่องภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ทำให้ทะเลบริเวณรอบเกาะปั่นป่วน เกิดคลื่นยักษ์ (tsunami) ที่มีความสูงถึง 30 เมตร พุ่งเข้าถล่มเกาะครีต มีผลทำให้อารยธรรมไมนวนถึงจุดจบ แล้วอารยธรรมไมซีเนียน (Mycenean) ก็ได้เข้ามาแทนที่ทันที
เหตุการณ์ ปฐพีถล่มในครั้งนั้น อธิบายชะตากรรมของครีทได้อย่างสมบูรณ์และมารีนาสโตสเองก็คิดว่าเหตุการณ์นี้อธิบายการสูญสลายของ แอตแลนตีส ด้วยทฤษฎี ครีท - เทรา (Crete - Thera) จึงเป็นทฤษฎี แอตแลนตีส ที่ผู้คนยอมรับกันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ประมาณ 20 ปี ความเชื่อในทฤษฎีนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อนักประวัติศาสตร์ ได้พบหลักฐานเพิ่มเติมว่าภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิดก่อนที่พระราชวังนอสซอส บนเกาะครีทจะถูกถล่มถึง 150 ปี
ในอีก 30 ปีต่อมา เมื่อมารีนาสโตส (S. Marinastos) นักโบราณคดีชาวกรีกได้ขุดพบวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของอารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท เขาได้พบว่าวัตถุเหล่านี้ถูกฝังอยู่ภายใต้ฝุ่นภูเขาไฟ ที่ได้ระเบิดบนเกาะเทรา (Thera) เมื่อ 4,000 ปีก่อนนี้ และฝุ่นได้ลอยไกลจากเกาะเทรามาตกปกคลุมเกาะครีตซึ่งอยู่ไกลกันถึง 96 กิโลเมตร ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2482 มารีนาสโตสจึงได้เสนอแนวความคิดว่า อารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท ต้องล่มสลายเพราะได้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟบนเกาะเทรา Thera (ซึ่งปัจจุบันเรียกเกาะซานโตรีนี (Santorini)) โดยเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในครั้งนั้นได้ทำให้พระราชวังนอสซอส และเมืองต่างๆ ของอาณาจักรไมนวนพังทลาย เถ้าถ่านและฝุ่นละอองจากภูเขาไฟได้ถล่มถมทับสิ่งปรักหักพังเหล่านี้จนหมด เมื่อมารีนาสโตสได้ขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สนับสนุนความคิดนี้ ที่เมืองอโครตีรี (Akrotiri) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะเทรา เขาก็ได้พบถนนหนทาง เครื่องใช้ เช่น เครื่องปั้นดินเผามากมาย จึงแสดงให้เห็นว่าอโครตีรี ก็เคยเป็นดินแดนหนึ่งของอารยธรรม ไมนวน บนเกาะครีทเช่นกัน
ประวัติ ศาสตร์ได้จารึกไว้ว่าอารยธรรมไมนวนเป็นอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนนี้ และอาณาจักรนี้มีจุดศูนย์กลางของความเจริญอยู่ที่เกาะครีท ชาวไมนวนมีอารยธรรมสูง มีกฎหมายใช้ มีเทคโนโลยีการถลุงแร่ รู้จักการขุดคลอง อุโมงค์ และสร้างท่าเรือ นอกจากนี้ยังรู้จักสร้างบ้านให้มีที่ระบายอากาศ และสร้างห้องน้ำที่มีชักโครกได้อีกด้วย ส่วนในเรื่องค้าขายนั้นชาวไมนวนชอบค้าข้าวสาลี ทองแดง ตะกั่วและเครื่องปั้นดินเผา กับผู้คนจากที่ไกลๆ อาณาจักรนี้มีเมืองท่าสำคัญอยู่บนเกาะเทรา แต่เมื่อราว 3,500 ปีมานี้เอง อาณาจักรไมนวนก็ได้สลายมลายสูญไปในทำนองเดียวกับ แอตแลนตีส ของเพลโต
จากการศึกษาของมารีนาสโตส ในเวลาต่อมาได้ทำให้เรารู้ว่าเมื่อ 1,520 ปีก่อนคริสตกาลนั้น ภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิด 3 ครั้ง และในครั้งสุดท้ายนั้น พลังระเบิดของภูเขาไฟที่สูงถึง 1,600 เมตรมีความรุนแรงมากยิ่งกว่าการระเบิดของภูเขาไฟกรากาตัว (Krakatoa) ในอินโดนีเซียที่ระเบิดเมื่อปี พ.ศ. 2462 ถึง 5 เท่า เสียงภูเขาไฟระเบิดในครั้งนั้นสามารถได้ยินไปไกลถึง 3,000 กิโลเมตร ทำให้เกาะเทราทรุดจมลงใต้ทะเล โดยฝุ่น ควันและเขม่าภูเขาไฟได้พุ่งขึ้นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่กว่า 400 ตารางกิโลเมตรในบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟเปลี่ยนสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน เถ้าถ่านและลาวาที่หนาถึง 30 เมตรได้ทับถมอารยธรรมไมนวนบนเกาะเทราไปจนหมดสิ้น และ อีก 40 ปีต่อมา การยุบตัวของปล่องภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ทำให้ทะเลบริเวณรอบเกาะปั่นป่วน เกิดคลื่นยักษ์ (tsunami) ที่มีความสูงถึง 30 เมตร พุ่งเข้าถล่มเกาะครีต มีผลทำให้อารยธรรมไมนวนถึงจุดจบ แล้วอารยธรรมไมซีเนียน (Mycenean) ก็ได้เข้ามาแทนที่ทันที
เหตุการณ์ ปฐพีถล่มในครั้งนั้น อธิบายชะตากรรมของครีทได้อย่างสมบูรณ์และมารีนาสโตสเองก็คิดว่าเหตุการณ์นี้อธิบายการสูญสลายของ แอตแลนตีส ด้วยทฤษฎี ครีท - เทรา (Crete - Thera) จึงเป็นทฤษฎี แอตแลนตีส ที่ผู้คนยอมรับกันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ประมาณ 20 ปี ความเชื่อในทฤษฎีนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อนักประวัติศาสตร์ ได้พบหลักฐานเพิ่มเติมว่าภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิดก่อนที่พระราชวังนอสซอส บนเกาะครีทจะถูกถล่มถึง 150 ปี
มีหนังสือชื่อ มิสทรี ออฟ ดิ แอนเชียน เวิลร์ด (Mysteries of the
Ancient World) หรือปริศนาลึกลับแห่งโลกโบราณ ซึ่งมี ฟรานเดอร์ (J.
Flanders) เป็นบรรณาธิการ และออกวางขาย ปลายปี 2541 กล่าวถึง แอตแลนตีส ว่า
เพลโต เป็นบุคคลเดียว ที่ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ และตั้งแต่นั้นมาใครก็ตามที่พูดถึง แอตแลนตีส ต่างก็จะอ้างเพลโตทั้งสิ้น จากเอกสารและหลักฐานทั้งหลาย ที่ปรากฏไม่มีใครรู้อย่าง 100% ว่า เพลโตได้ตั้งใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อลวงโลก หรือไม่ คนบางคนคิดว่าปราชญ์ โซลอน (Solon) ที่เพลโตอ้างว่าได้ยินเรื่อง แอตแลนตีส จากพระชาวอียิปต์นั้นได้นำเรื่อง นี้มาบอกต่อๆ กันไปจากปากต่อปาก จึงอาจจะทำให้เนื้อหาของเรื่อง ผิดเพี้ยนไปบ้าง
และถ้าแอตแลนตีส มีจริงดังที่ เพลโต เขียนไว้ เหตุใดพระอียิปต์ จึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ เฮโรโดตัส ( Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาติกรีกที่ได้เคยไปเยือนอียิปต์เมื่อ 450 ปีก่อนคริสต์กาลฟัง และถ้าข้อมูล แอตแลนตีส มาจากพระอียิปต์แต่เพียงแห่งเดียวจริง และข้อมูลนั้นมีเรื่องที่เกี่ยวกับกรีกด้วย เราก็ไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่า ข้อมูลของชาวอียิปต์ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวกรีกเมื่อ 4,000 ปีก่อนนั้นเป็นเรื่องราวที่ถูกต้อง 100% หรือเปล่า
เพลโต เป็นบุคคลเดียว ที่ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ และตั้งแต่นั้นมาใครก็ตามที่พูดถึง แอตแลนตีส ต่างก็จะอ้างเพลโตทั้งสิ้น จากเอกสารและหลักฐานทั้งหลาย ที่ปรากฏไม่มีใครรู้อย่าง 100% ว่า เพลโตได้ตั้งใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อลวงโลก หรือไม่ คนบางคนคิดว่าปราชญ์ โซลอน (Solon) ที่เพลโตอ้างว่าได้ยินเรื่อง แอตแลนตีส จากพระชาวอียิปต์นั้นได้นำเรื่อง นี้มาบอกต่อๆ กันไปจากปากต่อปาก จึงอาจจะทำให้เนื้อหาของเรื่อง ผิดเพี้ยนไปบ้าง
และถ้าแอตแลนตีส มีจริงดังที่ เพลโต เขียนไว้ เหตุใดพระอียิปต์ จึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ เฮโรโดตัส ( Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาติกรีกที่ได้เคยไปเยือนอียิปต์เมื่อ 450 ปีก่อนคริสต์กาลฟัง และถ้าข้อมูล แอตแลนตีส มาจากพระอียิปต์แต่เพียงแห่งเดียวจริง และข้อมูลนั้นมีเรื่องที่เกี่ยวกับกรีกด้วย เราก็ไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่า ข้อมูลของชาวอียิปต์ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวกรีกเมื่อ 4,000 ปีก่อนนั้นเป็นเรื่องราวที่ถูกต้อง 100% หรือเปล่า
ประเด็น เหล่านี้ทำให้นักวิชาการในปัจจุบันส่วนใหญ่เชื่อว่า
อริสโตเติล คิดว่าถูกที่ว่า แอตแลนตีส คืออาณาจักรในนิยายที่ไม่มีตัวตน และ เพลโต ได้เขียนเรื่อง
แอตแลนตีส ขึ้นมาเพื่อสอนใจ โดยใช้ข้อมูลภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์มาประกอบอย่างค่อนข้างสมจริงตามแนวหนังสือชื่อ
เดอะ รีพับบลิก (The
Republic) ของ เพลโต เอง
นักวิชาการเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นว่านิทานเรื่อง แอตแลนตีส มีเนื้อหาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์ของ สงครามเปโลโปนนีเชียน (Peloponnesian) ที่เกิดขึ้นเมื่อ 431-404 ปีก่อนคริสต์กาล โดยเพลโตได้สมมติให้ แอตแลนตีส แทนเอเธนส์ (Athens) และเอเธอนส์ คือสปาร์ตา (Sparta) ในสงครามครั้งนั้นได้มีคลื่นยักษ์พุ่งเข้าถล่มป้อมปราการของฝ่ายเอเธนส์บนเกาะ แอตาแลนเต (Atalante) จนราบเรียบ
ถึงแม้ เพลโต จะเขียนเรื่อง แอตแลนตีส ขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลจากหลายแห่งก็ตาม แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่นิยายไปทั้งหมด คนเหล่านี้มีความรู้สึกอยากจะให้ แอตแลนตีส มีจริง และอยากจะเห็นแอตแลนตีสสักครั้ง โดยอยากจะเห็นการผจญภัยในการค้นหา แอตแลนตีส ใต้ทะเล เหมือนเช่นที่ตอนกัปตันนีโม (Nemo) ได้ใช้เรือดำน้ำชื่อนอติลุส (Nautilus) ลงไปสำรวจใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ในนวนิยายเรื่อง ใต้ทะเล 20,000 โยชน์ (Twenty Thousand Leagues Under the Sea) ของจูลส์ เวิร์นส์ (Jules Verne) และกัปตันนีโมได้เห็นซากปรักหักพังของเมือง เห็นซากกำแพงเมืองและเสาหินต่างๆ ใต้ทะเล และที่ประตูเมืองนั้นมีคำจารึกว่า แอตแลนตีส
นักวิจัยสหรัฐมั่นใจ แอตแลนติส นครแห่งตำนานจมอยู่แถว ไซปรัส
รอย เตอร์ บีบีซีนิวส์ เอเอฟพี นักวิจัยสหรัฐ เปิดเผยว่าได้ค้นพบ แอตแลนติส เมืองแห่งอารยธรรมที่หายไปในห้วงทะเลลึกแถบไซปรัส พร้อมทั้งโชว์ทฤษฎีการสำรวจที่น่าทึ่งมากว่าทศวรรษ แต่นักฟิสิกส์เยอรมันแย้งว่าพื้นที่บริเวณนั้นภูเขาไฟเคยพ่นหินละลายเมื่อ 1 แสนปีก่อน ไม่น่าใช่เมืองของเพลโต
โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) เปิดเผยว่า แอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตกาล ทำให้บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ แอตแลนติส จมหายลงไปในคราวนั้น เชื่อว่าจมลึกลงไปถึง 1 ไมล์หรือประมาณ 1.6 กิโลเมตร ใต้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria)
นักวิชาการเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นว่านิทานเรื่อง แอตแลนตีส มีเนื้อหาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์ของ สงครามเปโลโปนนีเชียน (Peloponnesian) ที่เกิดขึ้นเมื่อ 431-404 ปีก่อนคริสต์กาล โดยเพลโตได้สมมติให้ แอตแลนตีส แทนเอเธนส์ (Athens) และเอเธอนส์ คือสปาร์ตา (Sparta) ในสงครามครั้งนั้นได้มีคลื่นยักษ์พุ่งเข้าถล่มป้อมปราการของฝ่ายเอเธนส์บนเกาะ แอตาแลนเต (Atalante) จนราบเรียบ
ถึงแม้ เพลโต จะเขียนเรื่อง แอตแลนตีส ขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลจากหลายแห่งก็ตาม แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่นิยายไปทั้งหมด คนเหล่านี้มีความรู้สึกอยากจะให้ แอตแลนตีส มีจริง และอยากจะเห็นแอตแลนตีสสักครั้ง โดยอยากจะเห็นการผจญภัยในการค้นหา แอตแลนตีส ใต้ทะเล เหมือนเช่นที่ตอนกัปตันนีโม (Nemo) ได้ใช้เรือดำน้ำชื่อนอติลุส (Nautilus) ลงไปสำรวจใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ในนวนิยายเรื่อง ใต้ทะเล 20,000 โยชน์ (Twenty Thousand Leagues Under the Sea) ของจูลส์ เวิร์นส์ (Jules Verne) และกัปตันนีโมได้เห็นซากปรักหักพังของเมือง เห็นซากกำแพงเมืองและเสาหินต่างๆ ใต้ทะเล และที่ประตูเมืองนั้นมีคำจารึกว่า แอตแลนตีส
นักวิจัยสหรัฐมั่นใจ แอตแลนติส นครแห่งตำนานจมอยู่แถว ไซปรัส
รอย เตอร์ บีบีซีนิวส์ เอเอฟพี นักวิจัยสหรัฐ เปิดเผยว่าได้ค้นพบ แอตแลนติส เมืองแห่งอารยธรรมที่หายไปในห้วงทะเลลึกแถบไซปรัส พร้อมทั้งโชว์ทฤษฎีการสำรวจที่น่าทึ่งมากว่าทศวรรษ แต่นักฟิสิกส์เยอรมันแย้งว่าพื้นที่บริเวณนั้นภูเขาไฟเคยพ่นหินละลายเมื่อ 1 แสนปีก่อน ไม่น่าใช่เมืองของเพลโต
โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) เปิดเผยว่า แอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตกาล ทำให้บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ แอตแลนติส จมหายลงไปในคราวนั้น เชื่อว่าจมลึกลงไปถึง 1 ไมล์หรือประมาณ 1.6 กิโลเมตร ใต้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria)
พวก เราพบมันแล้ว ซาร์แมสต์ ผู้นำคณะสำรวจที่ตระเวณไปในทะเลกว่า
50 ไมล์ตามแถบชายฝั่งตอนใต้ของไซปรัส
จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ
รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย
โดยเชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนตีส อย่างไรก็ดีคงต้องมีการสำรวจต่อๆ
ไปอีก
พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ในรูปแบบของเศษอิฐหรือปูนว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นที่ฝังอยู่ในตะกอนใต้น้ำลึกลงไปหลายเมตร แต่ว่าจากการสำรวจอย่างละเอียดและหลักฐานอื่นๆ ทำให้เชื่อว่าแอตแลนติสน่าจะอยู่ตรงนั้น ซาร์แมสต์ เผย
พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ในรูปแบบของเศษอิฐหรือปูนว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นที่ฝังอยู่ในตะกอนใต้น้ำลึกลงไปหลายเมตร แต่ว่าจากการสำรวจอย่างละเอียดและหลักฐานอื่นๆ ทำให้เชื่อว่าแอตแลนติสน่าจะอยู่ตรงนั้น ซาร์แมสต์ เผย
อย่างไรก็ดี ขณะที่ซาร์แมสต์ได้เปิดเผยข้อค้นพบต่อสาธารณชน ณ เมืองท่าลิมาสโซล (Limassol) เขายังได้นำภาพเคลื่อนไหวจำลอง เนิน ที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยจินตนาการภาพย้อนหลังไปหลายศตวรรษ
ตามคำกล่าวอ้างของ เพลโต (Plato) ปราชญ์ชาวกรีกโบราณ ระบุว่า แอตแลนตีสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ และได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าอย่างมาก อยู่ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ส่วนทฤษฎีที่พยายามอธิบายถึงเหตุผลแห่งการหายไปของอาณาจักรแอตแลนตีสนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภัยจากธรรมชาติคุกคาม หรือจากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองมีความละโมบและกระหายอำนาจ เทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจจะเป็นแค่เพียงภาพฝันของเพลโตก็เป็นได้
ซาร์ แมสต์ เปิดเผยต่ออีกว่า
เขาเดินทางไปไซปรัสตามร่องรอยในบทสนทนาของเพลโต ที่กล่าวว่า แอตแลนตีส อยู่ตรงข้ามกับ
พิลาร์ส ออฟ เฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) ซึ่งเชื่อกันว่านั่นก็คือ ช่องแคบยิบรอลตาร์
(Straits of Gibraltar) จึงทำให้นักสำรวจหลายๆ คนมุ่งความสนใจไปที่มหาสมุทรแอตแลนติก
ไอร์แลนด์ หรืออะซอเรส (Azores) ของโปรตุเกส
ผู้คนที่พลาดสิ่งเหล่านี้ไป
นั่นก็เพราะไม่ได้ทำการบ้านให้ดี ผู้คนต่างรู้ไม่จริง ถ้าต้องการที่จะเข้าใจปริศนาลึกลับแห่งแอตแลนติก
จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณ ข้ออ้างอิงทางศาสนา วัฒนธรรมและร่องรอยของชาวสุเมเรียน
(Sumerian) ซาร์แมสต์กล่าวแต่ยังไม่ทันที่ซาร์แมสต์จะกลับไปฝันหวานกับข้อค้นพบของเขา คริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน จากศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลและบรรยากาศในฮัมบรูก ก็ออกมาแย้งผ่านหนังสือพิมพ์เยอรมนีว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมงานชาวเนเธอร์แลนด์เคยเดินเรือไปสำรวจบริเวณที่ ซาร์แมสต์ระบุว่าเป็นแอตแลนตีสมาก่อนแล้ว
ก่อน หน้านี้ได้มีความพยายามเกาะรอยคำกล่าวของเพลโตเช่นกัน
โดยนักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ตลอดจนทะเลจีนใต้
โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอุทยานแห่งชาติดอนานา
ของเสปน (Donana)
จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University
Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยม
2 หลัง จมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ
ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่า สิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ
วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต
อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครองนครแอตแลนตีส อย่างไรก็ตาม หลังจากการเผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมออกไป
ก็ยังไม่มีใครได้ลองดำลึกลงไปขุดพิสูจน์พื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใดเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น