เทวีอโฟร์ไดท์ให้ประสูติบุตรธิดาดับเทพเอเรส 3 องค์ ธิดาคือ
นางเฮอร์โมไอนีนั้น ได้อภิเษกกับแคดมัสเจ้ากรุงธีบส์ ส่วนบุตรคือ คิวพิด กับแอนทีรอส
คิวพิด นั้นคือกามเทพของโรมัน ชาวกรีกเรียกว่า อีรอส อีรอสหรือคิวพิดซึ่งเป็นบุตรของอโฟร์ไดท์กับเอเรสนี้
เป็นคนละองค์กับอีรอสหรือคิวพิดที่อุบัติขึ้นแต่ครั้งสร้างโลก
และการกล่าวขวัญถึงโดยทั่วๆ ไปก็มักจะหมายถึงอีรอสซึ่งเป็นบุตรของอโฟร์ไดท์กับเอเรสองค์นี้
นอกจากเทพอพอลโลแล้ว อีรอสเป็นที่ถือกันว่าประกอบด้วยรูปลักษณะงามที่สุดในบรรดาเทพทั้งหลาย
ปรัชญาเมธีเพลโตกล่าวความอุปไมยเกี่ยวกับเทพองค์นี้ไว้ว่า "กามเทพ คือ อีรอส
ย่อมเข้าสิงหัวใจคนก็จริง แต่ก็ไม่ทุกหัวใจไป ด้วยว่าที่ใดมีความแข็งกระด้างเธอก็ผละหนี
เกียรติคุณอันล้ำเลิศของเธอนั้นอยู่ที่ว่า เธอหาอาจที่จะทำผิด
หรือยอมให้ผู้ใดทำผิดไม่ แม้กำลังบังคับก็ไม่สามารถจะหักเธอได้ลง"
ว่ากันว่า ตำนานของเทพอีรอสผู้นี้ นักกวีชาวกรีกรุ่นก่อนมิได้แต่งขึ้น
ต่อมากวีฮีสิออดได้แต่งให้มีเทพองค์นี้ เกิดขึ้น แต่มิใช่โอรสของเทวีอโฟร์ไดท์เลย เป็นเพียงแค่เพื่อนกันเท่านั้น
เพราะฉะนั้นตำนานของเทพผู้นี้จึงเป็นนักกวีชาวโรมันเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้น
และจะมีเฉพาะตำนานของโรมันเท่านั้นที่มีเรื่องราวของเทพองค์นี้ปรากฏอยู่
ตามตำนานที่ยอมรับทั่วไปกล่าวว่า อีรอสเป็นเทพ "ติดแม่"
เป็นที่สุด เมื่อมีเทวีอโฟร์ไดท์อยู่ ณ ที่ใดอีรอสก็ปรากฏอยู่ ณ ที่นั้นด้วย
อันเป็นข้อเปรียบถึงธรรมดาแห่งความงามและกามวิสัยนั่นเอง อีรอสถือลูกศรแห่งกามฉันท์กับคันธนูน้อยเป็นอาวุธ
สำหรับยิงเสียบหัวใจของเทพและมนุษย์ให้เกิดความปรารถนาเร่าร้อนไปด้วยความพิศวาส
โดยที่ในชั้นเดิมเธอเป็นเด็กเยาว์อยู่เป็นนิตย์ไม่มีวันเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ดังนั้นจึงต้องมีเทพน้อยอีกองค์ หนึ่งอุบัติขึ้นเพื่อเป็นเพื่อนเล่นและบริวารของเธอ
เรียกว่า แอนทีรอส กำเนิดของแอนทีรอสนั้นมีตำนานเล่าไว้ดังนี้
เมื่อไม่เห็นอีรอสเจริญวัยขึ้นเสียเลย อโฟรไดท์ปรารภกับธีมิส เทวีแห่งความยุติธรรมว่า
อีรอสบุตรของเธอทำอย่างไรจึงจะเลี้ยงดูเธอให้โตขึ้นได้ ธีมิสชี้แจงว่า
เหตุที่อีรอสไม่เติบโตก็เพราะเธอขาดเพื่อนเล่นแก้เหงา
ถ้ามีน้องเกิดขึ้นสักองค์หนึ่งเธอคงจะโตขึ้นอีกมาก ต่อมาในไม่ช้าแอนทีรอสก็เกิดขึ้นภายหลังแต่นั้นอีรอสก็เติบโตแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
(ถึงกระนั้นรูปคิวพิดหรืออีรอส ที่เขียนและแกะสลักกันขึ้นทั่วไปก็ไม่พ้นรูปเด็ก)
แอนทีรอสนอกจากจะเป็นเพื่อนเล่นของอีรอสแล้ว ยังถือกันว่าเป็นเทพบันดาลให้มีการรักตอบด้วย
เรื่องของเทพ อีรอสกับนางไซคิ ซึ่งจะเล่าต่อไปนี้
เป็นเรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดเรื่องหนึ่งในเทพปกรณัมกรีกโรมัน ด้วยเป็นเรื่องที่จับใจและให้คติน่าคิดหลายทำนอง
สุดแต่ผู้อ่านผู้ฟังจะคิดเห็นตามอัธยาศัย
โดยเฉพาะเรื่องนี้เป็นเรื่องรักของเทพอีรอส เอง
ผู้มีฤทธิ์จะบันดาลให้ใครรักใครก็ได้ประการหนึ่ง และชื่อนาง ไซคิ (Psyche) ตัวเอกของเรื่องนั้นก็เผอิญเป็นคำเดียวกันกับ
คำที่หมายถึงจิตใจหรือดวงวิญญาณอีกประการหนึ่งด้วย หรืออาจกล่าวว่า
เทพปกรณัมกรีกอุปโลกน์นางไซคิให้หมายแทนลักษณะของดวงวิญญาณก็ได้
บรรยายตามเรื่องที่เล่าในปกรณัมนั้นว่า
ในกาลครั้งหนึ่ง กษัตริย์องค์หนึ่งของกรีกมีธิดา 3 องค์
ล้วนทรงสิริโฉมงามสะคราญ แต่ความงามของ 2 องค์พี่รวมกันจะเทียม
เท่าด้วยความงามองค์น้องสุดก็หาไม่ ธิดาองค์หลังสุดนี้ทรงนามว่า ไซคิ
เป็นเจ้าของความงามอันลือเลื่องเฟื่องฟุ้งยิ่งนัก ถึงกับใครๆ พากันยกย่องเทิดทูนจนลืมบูชาเทวีอโฟร์ไดท์
เจ้าแม่แห่งความงามเสีย เป็นเหตุให้ศาลของเจ้าแม่เงียบเหงาวังเวง แท่นที่บูชาเจ้าแม่ก็ว่างเปล่าหาผู้ใดจะเข้าไปบวงสรวงมิได้
แม้แต่แขกเมืองก็พากันผ่านศาลเจ้าแม่ไปชมความงามของไซคิกันหมดสิ้น เจ้าแม่ริษยานวลอนงค์ยิ่งนัก
คิดใคร่จะแกล้งนางไซคิให้ตกต่ำด้วยความอัปยศ
เพื่อมิให้คนทั้งปวงยกย่องเทิดทูนและใฝ่ฝันถึงนางอีกต่อไป เจ้าแม่จึงเรียกอีรอสเทพบุตรมาบอกความประสงค์ของเจ้าแม่ให้ทราบ
โดยสั่งให้อีรอสไปทำให้นางไซคิหลงรักสัตว์อุบาทว์ทรลักษณ์สักคนหนึ่ง
อีรอสกระทำตามเจ้าแม่สั่ง แต่ผลปรากฏในภายหลังกลับกลายเป็นว่า
"สัตว์อุบาทว์ทรลักษณ์" ที่ไซคิจะต้อง หลงรักนั้นได้แก่ อีรอสเอง !
ในอุทยานของเจ้าแม่อโฟร์ไดท์มีน้ำพุอยู่ 2 แอ่ง แอ่งหนึ่งเป็นน้ำหวาน
อีกแอ่งเป็นน้ำขม น้ำพุหวานเป็นน้ำสำหรับบันดาลความ ชื่นบาน
ส่วนน้ำขมสำหรับบันดาลความขมขื่นระทมใจ ในครั้งแรกอีรอสตักน้ำพุทั้งสองชนิดบรรจุกุณโฑชนิดละใบนำไปยังห้องที่ไซคิหลับอยู่
อีรอสเอาน้ำขมในกุณโฑประพรมลงบนโอษฐ์ไซคิแล้วจึงเอาปลายศรบันดาลความพิศวาส สะกิดสีข้างของนางในบัดดลไซคิก็สะดุ้งตื่น
ถึงแม้ว่าอีรอสจะมิได้ปรากฏองค์ให้นางเห็น แต่ด้วยอารามลืมองค์
เธอจึงทำศรสะกิดองค์เธอเองด้วย เพราะตกใจและเธอก็ตกห้วงรักนางไซคิด้วยอำนาจศรของเธอเองตั้งแต่บัดนั้น
เธอเอาน้ำพุหวานรดลงบนเรือนผมของไซคิ แล้วก็ผละผินบินออกจากที่นั้นไป
เวลาผ่านไปไซคิก็ยิ่งเหงาเปล่าเปลี่ยวใจไม่มีผู้ใดใฝ่ฝันจะขอวิวาห์ด้วย
สายตาคนทั้งหลายยังคงตะลึงลานในรูปโฉมและคำคนยังแจ้วจำนรรจาสรรเสริญนางยังมีอยู่
แต่มิมีใครสู่ขอนางเป็นคู่ชีวิต เนื่องจากใครๆ ก็พากันเกรงนางอยู่สุดเอื้อมเหมือนกันหมด
พี่สาวทั้งสองของนางได้แต่งงานไปแล้วกับเจ้ากรีกต่างนคร ส่วนไซคิยังคงอยู่เดียวเปลี่ยวใจต่อมาอีกเป็นเวลานาน
จนบิดามารดาของนางเกิดปริวิตกเกรงว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะมีความบกพร่องอะไรสักอย่างหนึ่ง
ซึ่งตนได้กระทำลงไปโดย รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้เทพเจ้าโกรธถึงบันดาลโทษให้ปรากฏเช่นนี้
ท้าวเธอจึงบวงสรวงเสี่ยงทายคำพยากรณ์แห่งเทพอพอลโล และได้รับคำพยากรณ์ว่า
นางจะได้คู่ครองเป็นมนุษย์ปุถุชนก็หาไม่
คู่ครองของนางในภายหน้านั้นคอยนางอยู่แล้วบนยอดเขาขุนเขา เป็นอมนุษย์ซึ่งไม่มีมนุษย์หรือเทพองค์ใดจะขัดขืนหรือต้านทานได้
คำพยากรณ์นี้เป็นเหตุให้เกิดความเศร้าสลดแก่คนทั้งหลายและบิดามารดาของนางไซคิอย่างหาที่เปรียบมิได้
แต่ตัวนางเองหาย่อท้อไม่ นางกลับเห็นว่าเมื่อวาสนาชะตากรรมของนางจะต้องเป็นเช่นนั้นก็ตาม
บิดามารดาของนางจึงจัดแจงส่งนางขึ้นไปบนยอดเขา ประกอบด้วยขบวนแห่แหนดั่งแห่ศพฉะนั้น
ฝูงคนทั้งปวงที่ตามขบวนแห่ก็ล้วนแต่เศร้าหมองมีใจคอห่อเหี่ยวอาลัย
เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วบิดามารดาของนางและคนทั้งปวงก็พากันกลับ
พร้อมด้วยใจละห้อยละเหี่ยยิ่งกว่าตอนขาไปอีก
นางไซคิยืนถอนสะอื้นด้วยความใจหายและว้าเหว่โดยลำพังตนอยู่บนชะง่อนหิน
ในบัดดลเทพเสฟไฟรัสเจ้าแห่งลมตะวันตกก็บรรจงโอบอุ้มร่างไซคิขึ้นจากยอดเขา
และหอบนางให้เลื่อนลอยลงสู่สถานแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยติณชาติเขียวขจี ห้อมล้อมด้วยนานารุกขพฤกษาชาติร่มรื่น
นางเหลียวมองดูรอบข้างเห็นที่แห่งหนึ่งประกอบ ด้วยซุ้มไม้ซึ้งตาดูชอบกล
นางจึงเยื้องกรายเข้าไป เห็นธารน้ำพุใสไหลรินดังธารแก้วผลึก
และถัดจากนั้นไปมีตำหนักหนึ่งตั้งตระหง่านตระการตา ไซคิค่อยมีใจเบิกบานและอาจหาญขึ้นจึงเดินเข้าไปในตำหนัก
ภายในตำหนักล้วนแล้วด้วยทัศนาภาพอันวิจิตรหาที่เปรียบมิได้ในบรรดาที่มีในมนุษย์โลก
แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ปรากฏอยู่ในที่นั้นเลย
ในขณะที่เพลินชมภาพเจริญตาทั้งมวลภายในตำหนักนั้น พลันนางไซคิได้ยินเสียงพูดกับนางอยู่ใกล้ๆ
แต่ไม่เห็นตัว พูดว่า "ข้าแต่นางนาฏผู้เป็นใหญ่ สิ่งทั้งปวงที่ปรากฏแก่ตาท่านในที่นี้เป็นของท่านทั้งหมด
พวกเราเจ้าของเสียงนี้คือบริวารของท่าน ซึ่งจะ ปฏิบัติตามคำสั่งท่านทุกประการ
จงวางใจพวกเราเถิด พวกเราจัดห้องบรรทมและกระยาหารสรรพด้วยรสอันจะพึงใจท่านพร้อมแล้ว
ขอท่านจงเสพกินตามอัธยาศัยเถิด"
ไซคิปฏิบัติตามคำเชื้อเชิญ และคอย "อมนุษย์" ผู้จะมาครองคู่กับนางตลอดเวลานั้นนางได้ยินเสียงดนตรีทิพย์
บรรเลงขับกล่อมแสนไพเราะหูยิ่งนัก แต่ "อมนุษย์"
คู่ครองนางหาได้มาในยามกลางวันไม่ หากยามราตรีกาลมืดสนิทจึงจะมา และพอเวลาใกล้รุ่งก็กลับไป
ไซคิไม่สามารถแลเห็นคู่ครองของนางเลยว่ามีรูปร่างพิกลอย่างไร นางเพียงแต่
ได้ยินคำพร่ำพรอดอันเต็มไปด้วย ความอ่อนหวาน
ซึ่งก็ชักจูงจิตใจนางให้เคลิบเคลิ้มพลอยสนิทเสน่หาไปด้วยเท่านั้น
ไซคิอยู่ครองกับอีรอสโดยไม่รู้ว่าคู่ครองนางเป็นใครเป็นเวลาแรมเดือน
ถึงนางจะอ้อนวอนเท่าใด อีรอสก็ไม่ยอมอยู่ให้นางเห็น ยิ่งกว่านั้นเธอยังสั่งห้ามนางมิให้จุดไฟในราตรีกาลหรือถามนามของเธอเป็นอันขาด
เธอให้เหตุผลกับนางว่า "เจ้าจะต้องการ เห็นข้าเพื่อประสงค์ใด
เจ้ายังคลางแคลงใจในความรักของข้าอยู่หรือ ถ้าเจ้าแลเห็นชะรอยเจ้าอาจเทิดทูนบูชาหรือกลัวข้าก็ได้
แต่ข้าอยากให้เจ้าสมัครรักใคร่ข้าในฐานะปุถุชนคนเสมอกันมากกว่าอยากให้เจ้าเทิดทูนข้าเสมอด้วยเทพดอกนะ"
ไซคิยอมจำนนต่อเหตุผลของอีรอส จึงสงบเงียบ ไม่ออดอ้อนเซ้าซี้คู่ครองนางอีก
ต่อมาด้วยความคิดถึงวงศาคนาญาติ ทำให้นางไซคิขออนุญาตอีรอสเชิญพี่สาวไปเที่ยวที่ตำหนัก
ในครั้งแรกอีรอสอิดเอื้อน แต่ในที่สุดก็อนุญาต
ฝ่ายพี่สาวทั้งคู่ของนางไซคิได้รับคำเชิญชวนของน้องสาวก็รีบมาด้วยความอยากรู้ว่าน้องสาวของตนจะอยู่กับอมนุษย์อย่างไร
ครั้นมาถึงยอดเขาที่นางไซคิมาเป็นครั้งแรก ลมเสฟไฟรัสก็พัดโบกโอบอุ้มสองนางนั้นให้เลื่อนลอยลงมายังตำหนักของไซคิ
เป็นที่พิศวงแก่นางทั้งสองยิ่งนัก และเมื่อน้องสาวพาเข้าไปในตำหนัก
นางทั้งสองกลับเพิ่มความพิศวงขึ้นอีกในการที่ได้เห็นควมงามอันวิจิตรภายในตำหนัก
ได้ประจักษ์ว่าข้าทาสบริวารของน้องสาวในสถานที่นั้นมีแต่เสียงไม่เห็นตัว
ซ้ำคู่ครองของนางก็ไม่เคยแสดงโฉมหน้าหรือเผยชื่อให้ปรากฏ
สองนางพี่น้องจึงเสี้ยมสอนยุยงไซคิถึงวิธีลักลอบดูตัวคู่ครองนาง
หากว่าเป็นอมนุษย์ทรลักษณ์จริงจะได้ฆ่าเสีย
ไซคิปฏิบัติตามคำเสี้ยมสอนยุยงอย่างเสียมิได้
นางจัดแจงหาตะเกียงและมีดดาบซ่อนไว้ไม่ให้อีรอสเห็น เมื่ออีรอสนิทราหลับสนิท
นางจึงลุกขึ้นจุดตะเกียงส่องดูสามี ไซคิก็รู้สำนึกว่าตนทำผิดโดยล่วงละเมิดคำสั่งห้ามของภัสดาไปเสียแล้ว
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของนาง หาใช่อมนุษย์ไม่ แต่เป็นองค์เทพที่สง่างามละไมตาหาที่เปรียบมิได้
ณ เบื้องปฤษฎางค์ของอังสานั้นมีปีกติดอยู่ทั้งสองข้าง นางก็รู้ในบัดนั้นแล้วว่า
อีรอสคือสามีของนาง ในขณะที่นางถือตะเกียงเขยิบเข้าไปพิศดูใกล้ๆ อย่างเพลินตานั้น
น้ำมันตะเกียงซึ่งยังร้อนหยดลงบนผิวของอีรอส อีรอสสะดุ้งตื่นจากนิทราทันที พอเห็นเหตุดังนั้นเธอก็กางปีกออกโผผละจากที่นั้นไปทางช่องแกล
ไซคิพยายามโผติดตามแต่กลับตกลงกับพื้น อีรอสโกรธนางไซคิถึงกับออกโอษฐ์ว่า
"ดูก่อน ไซคิผู้โฉดเขลา เจ้าตอบแทนความรักของข้าโดยฉะนี้ดอกหรือ ไปเถิดไปหาพี่สาวของเจ้าผู้เสี้ยมสอนดีเถิด
ข้าจะลงโทษเจ้าโดยจากเจ้าตลอดกาลแต่บัดนี้ ด้วยความรักย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากความไว้วางใจ"
แล้วอีรอสก็เหินหายลับไปในอากาศ ฝ่ายไซคิคืนสติเหลียวมองดูรอบข้าง
ได้รู้ว่าทั้งตำหนักและอุทยานได้อันตรธานหายไป คงเหลือแต่นางอยู่แต่เดียวดายโดยลำพัง
ให้บังเกิดความว้าเหว่ระทมทุกข์ยิ่งนัก
ไซคิออกจากที่นั่น ไปหาพี่สาวและเล่าเหตุที่เกิดทั้งหมดให้พี่สาวฟัง
สองนางแสร้งทำเป็นพลอยเศร้าสลดแต่ใจจริงลิงโลดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นางคบคิดกันจะไปยังที่นั้นอีก หากว่าอีรอสจะเลือกนางคนใดคนหนึ่งในสองพี่น้องแทนนางไซคิ
นางแต่ละคนต่างก็ขึ้นไปบนยอดเขาเรียกให้ลมเสฟไฟรัสมารับตัวลงไป
แต่ลมไม่ได้รับคำสั่งจากอีรอสจึงไม่มารับดั่งในครั้งก่อน
พอนางแต่ละคนโผออกจากยอดเขาด้วยสำคัญผิดว่าลมเสฟไฟรัสมารับ นางก็กลับตกเขาตาย
ในระหว่างนั้น ไซคิซัดเซพเนจรเที่ยวค้นหาสามีไปตามที่ต่างๆ
พบใครก็สืบถามดะไปหมด เช่น นางได้พบแพน เทพบุตรขาแพะ แต่เทพก็ช่วยอะไรไม่ได้
นอกจากฟังเรื่องและปลอบใจนางเท่านั้น วันหนึ่งนางมาถึงศาลเจ้าแม่ดีมิเตอร์
เทวีครองการเก็บเกี่ยว เห็นเคียว ข้าวโพด และเครื่องมืออื่นๆ กองสุมกันอยู่ระเกะระกะไม่เป็น
ระเบียบนางจึงจัดข้าวของเสียใหม่ให้เป็นหมวดหมู่ ดูเรียบร้อย
เจ้าแม่ดีมีเตอร์ก็โปรดให้บังเกิดความสมเพชสงสารนางไซคิในความอาภัพอัปภาคย์ของนางเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าแม่จึงแนะนำให้นางไปที่ศาลเจ้าแม่อโฟร์ไดท์ และให้บวงสรวงวอนขอความกรุณาต่อเจ้าแม่ดูสักครั้งหนึ่ง
แต่เจ้ากรรม เทวีแห่งความงามยังไม่หายคุมแค้นนางไซคิ เจ้าแม่บริภาษเปรียบเปรยว่าว่านางเป็นประการต่างๆ
ให้นางระกำใจ มิหนำซ้ำยังใช้ให้นางทำการอย่างหนึ่งซึ่งเป็นงานเหนือวิสัยมนุษย์ปุถุชนจะทำได้
คือ ให้จำแนกเมล็ดพืชนานาชนิดที่ระคนปนกันอยู่ในฉางออกจากกันเป็นพวกๆ ให้เสร็จก่อนค่ำ
เพื่อเก็บไว้ให้นกพิราบของเจ้าแม่กิน ถ้านางทำได้สำเร็จเจ้าแม่ก็จะยอมยกโทษให้
นางไซคิมองดูธัญชาติในฉางด้วยความท้อถอย ทอดอาลัยสุดที่จะคิดอ่านประการใด
ในขณะนั้นเองมดฝูงหนึ่งก็มาช่วยกันขนเมล็ดข้าวนานาชนิดไปกองไว้เป็นพวกๆ
มดฝูงนั้นมาตามคำบัญชาของอีรอสเพื่อช่วยงานของนางไซคิให้สำเร็จด้วยความสงสาร
จนเสร็จภายในเวลาที่กำหนดแล้วก็หายตัวไป พอเวลาพลบ เจ้าแม่ลงมาจากเขาโอลิมปัส
ได้เห็นงานสำเร็จเรียบร้อยดังนั้น แทนที่จะโปรด กลับระบุว่านางคงไม่ได้ทำงานสำเร็จด้วยตนเอง
และว่าผู้ที่ช่วยนางในครั้งนี้มิใช่ใครอื่น นอกจากอีรอสเป็นแน่
เจ้าแม่ยังไม่ยอมยกโทษให้ หากกลับใช้นางทำการอีกอย่างหนึ่งต่อไป
ในคราวนี้เจ้าแม่อโฟร์ไดท์ใช้นางไซคิให้ข้ามแม่น้ำสายหนึ่งไปถอนขนแกะซึ่งไม่มีผู้ใดเลี้ยง
ณ ฟากตรงข้ามของแม่น้ำเอามาถวายเจ้าแม่ แกะฝูงนั้นล้วนมีขนเป็นทองคำ
และเจ้าแม่ก็พึงประสงค์ขนแกะทองคำมากที่สุด
ให้นางไซคิถอนขนแกะทุกตัวตัวละขนเอามาถวายให้จงได้ ไซคิไปถึงริมฝั่งแม่น้ำแต่เช้าแต่ต้นอ้อริมฝั่งแม่น้ำหน่วงนางเอาไว้
ทั้งนี้ด้วยเทพประจำแม่น้ำสงสารนางว่าจะไปตายเสียเปล่า
จึงสั่งความลับไว้ให้ต้นอ้อบอกแก่นางเกี่ยวกับวิธีที่ปลอดภัยในการไปเอาขนแกะทองคำ
ความลับ นั้นมีว่า ตั้งแต่เวลาเช้าถึงเที่ยงแม่น้ำมีอันตรายมาก
และแกะฝูงนั้นก็ดุร้าย
ถึงนางจะข้ามแม่น้ำไปถึงฝั่งตรงข้ามได้สำเร็จก็น่ากลัวจะไม่วายถูกฝูงแกะทำลายชีวิตเสีย
ต่อเวลาเที่ยงล่วงแล้วฝูงแกะจึงกลับเชื่อง และแม่น้ำก็สงบนิ่ง
ให้นางรออยู่จนถึงเวลานั้นจึงค่อยข้ามแม่น้ำไป นางจะพบขนแกะทองคำติดตามพุ่มไม้
ให้นางเที่ยวเก็บเอาตามพุ่มไม้ เหล่านั้นเถิด
นางไซคิปฏิบัติตามคำแนะนำของต้นอ้อทุกประการ
ในไม่ช้าก็หอบขนแกะทองคำเอามาถวายเจ้าแม่อโฟร์ไดท์เป็นอันมาก เจ้าแม่ไม่สมหวังในการประทุษร้ายนางไซคิในครั้งนี้
จึงแกล้งใช้นางให้ทำธุระอีกอย่างหนึ่งเป็นครั้งที่สาม
โดยงานชิ้นที่สามที่เทวีอโฟร์ไดท์ได้สั่งให้นางไซคิทำก็คือ
การนำโถใบหนึ่งลงไปในยมโลก ไปเฝ้าเพอร์เซโฟนีเทวี ทูลขอเครื่องประกอบความงามของเจ้าแม่
ให้เจ้าแม่บรรจุลงในโถใบนี้แล้วนำกลับมาให้แก่ตน ให้รีบไปและรีบกลับโดยเร็วก่อนค่ำวันนี้
ไซคิเมื่อได้ยินคำสั่งดังนี้ ให้นึกแน่ว่าครั้งนี้นางคงถึงแก่อับจนไม่พ้นมือมัจจุราชเป็นเที่ยงแท้
แต่นางก็คิดว่าดีเหมือนกัน เรื่องราวทั้งหลายจะได้ยุติลงเสียที
และเพื่อตัดบทในการที่จะดั้นด้นลงสู่ยมโลกที่มนุษย์ปุถุชนไม่สามารถที่จะทำได้
นางจึงขึ้นไปบนยอดหอสูงหมายจะโดดลงมาให้ตาย เพื่อมิให้ร่างกายต้องทรมาน และในบัดดล
พลันได้ยินเสียงหนึ่งในหอลอยมากระทบหูของนาง
เป็นคำปลอบและบอกทางให้นางลงสู่ยมโลกโดยลัดเลาะไปตามถ้ำ
ลงเรือจ้างของเครอนข้ามแม่น้ำคั่นตรุที่ประทับของเทพ ฮาเดส
และบอกวิธีหลีกเลี่ยงเซอร์บิรัส สุนัขสามหัวให้ด้วย แต่กำชับว่าในระหว่างที่ยังอยู่ในยมโลก
นางจะกินผลไม้ใดๆ มิได้ เว้นแต่อาหารที่ทำด้วยแป้ง
และเมื่อเพอร์เซโฟนีเทวีมอบโถให้แล้วห้ามมิให้นางเปิดโถนั้นดูเป็นอันขาด
นางไซคิปฏิบัติตามคำ แนะนำของเสียงนั้นอย่างเคร่งครัดทุกประการ
เว้นแต่ประการสุดท้ายประการเดียว
ในขณะที่ไซคินำโถกลับมาตามทางนั้น นางคิดว่าความงามอันใดบรรจุอยู่ในโถ
ถ้านางเปิดโถออกให้ความงามนั้นพลุ่งขึ้นเสริมความงามของนางเองให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นคงเป็นการดีไม่น้อย
นางลุอำนาจแก่ความอยากรู้อยากเห็นเช่นนั้น จนลืมคำกำชับห้ามปราม
พอเปิดโถออกนางก็ล้มสลบแน่นิ่งไป ด้วยสิ่งที่บรรจุอยู่ในโถมิใช่ความงาม
แต่เป็นความหลับในยมโลก
ฝ่ายอีรอสซึ่งยังอยู่ในอำนาจพิษศรกามของเธอเอง ในขณะนั้นหายโกรธแล้ว
ให้ระลึกถึงนางไซคิเป็นที่สุด
เธอรู้ว่าไซคิประสบเคราะห์กรรมเป็นไฉนจึงบินออกจากทิพมนเทียรลงสู่บาดาล
เก็บความหลับกลับคืนในโถแล้วเอาปลายศรสะกิดเบาๆ นางก็ฟื้นตื่นจากวิสัญญีภาพ
เธอตัดพ้อชี้ให้เห็นโทษของความสอดรู้สอดเห็นอันบังเกิดแก่นางถึงสองครั้งแล้ว
ให้นางปฏิบัติภาระที่ได้รับ มอบจากเจ้าแม่อโฟร์ไดท์ต่อไปให้เสร็จ ส่วนตัวอีรอสเองจะขึ้นไปบนสวรรค์ทูลขอต่อซูสให้โปรดเกลี้ยกล่อมเจ้าแม่แห่งความงามงดโทษโกรธขึ้งนางไซคิเสีย
ซึ่งซูสเทพบดีก็โปรดให้ตามที่ขอ เมื่อเจ้าแม่อโฟร์ไดท์ยอมงดโทษแก่นางไซคิแล้ว
ซูสจึงประทานน้ำอมฤตให้นางไซคิดื่ม ซึ่งจะทำให้เป็นอมตะอยู่ครองคู่กับอีรอสโดยไม่พลัดพรากจากกันอีกเลยนับแต่บัดนั้นมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น