ในตํานานเมืองฟ้าป่าหิมพานต์นั้น
มีเรื่องราวของสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายหลายชนิด เช่น ราชสีห์ คชสีห์
อันมีลําตัวเป็นสิงห์แต่มีศรีษะเป็นช้าง กินรี กินนร และสัตว์แปลกๆ อีกมากมาย
ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้นมี 2 อย่างที่นับว่าเป็นเทพ มีอิทธิฤทธิ์มากคือ พญาครุฑ
จ้าวแห่งเวหา อีกหนึ่งคือ พญานาคราช จ้าวแห่งบาดาล
พญานาคนั้นมีวิมานอันเป็นทิพย์อยู่ในเมืองบาดาล
ส่วนพญาครุฑนั้นก็มี วิมานฉิมพลี อยู่ที่เชิงเขาไกรลาสและได้รับพรให้ เป็นอมตะ
ไม่มีศาสตราวุธใดๆ สามารถทําร้ายได้ แม้แต่สายฟ้าของพระอินทร์
กล่าวว่าองค์พญาครุฑนั้นมีนามว่า ท้าวเวนไตย เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวสุบรรณ
ซึ่งหมายถึง (ขนวิเศษ) มีกายเป็นรัศมีสีทอง
มีเดชอํานาจมากที่สุดในหมู่ครุฑทั้งหลาย อาศัยเกาะอยู่ตามต้นงิ้ว
อาศัยผลงิ้วและนําดอกไม้จากตันงิ้วเป็นอาหารทิพย์
ลูกพญาครุฑจะโตขึ้นนับเวลาอายุเป็นข้างขึ้นข้างแรมตามจันทรคติ
เติบโตด้วยบุญกุศลที่เคยทํามา หากลูกครุฑตนใดที่มีบุญญาธิการมามาก
อํานาจจะบันดาลให้เกิดผลงิ้วทิพย์และน้ำหวานจากดอกไม้มาบําเรอลูกครุฑตนนั้นๆและลูกครุฑตนดังกล่าวจะจําเจริญวัยได้อย่างรวด
นาคและครุฑต่างเป็นสัตว์ที่คู่กันมาตามตํานาน
มีเรื่องราวเล่ากันว่าในขณะที่พระพรหมกําลังสร้างโลกอยู่นั้น
พระทักษะปชาบดีได้ยกลูกสาวทั้ง 13 คนให้ ฤาษีกัสยปะเทพบิดร
และเกิดบุตรหลานเป็นจํานวนมาก โดย นางกัทรุ หนึ่งในบรรดาลูกสาวทั้ง13 คนนั้นได้เป็นมารดาของนาคและงู1000
ตัว ส่วน นางวินตา ผู้เป็นน้องก็ได้ให้กําเนิดไข่ 2 ฟองซึ่งต้องใช้เวลาฟักนานมาก
นางวินตา ทนรอไม่ไหวจึงทุบไข่ฟองนึงให้แตกเป็นตัวออกมา บุตรของ นางวินตา
เมื่อออกมาแล้วปรากฎว่าเป็น ชายครึ่งนก
แต่มีสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์เพราะออกมาจากไข่เร็วเกินไปดังนั้นบุตรชายครึ่งนกก็กราบทูลพระมารดาว่า
ให้รอไข่อีกฟองแตกตัวออกมาโดยวิธีธรรมชาติ
ก็จะได้บุตรชายครึ่งนกที่มีสภาพร่างกายสมบูรณ์
จะมีบุญญาธิการและพละกําลังมหาศาลและจะคอยให้ความช่วยเหลือนางวินตาพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
พอกล่าวจบบุตรครึ่งนกตนแรกก็บินจากนางไป และไปเป็นสารถีให้พระสุริยะเทพ
และมีนามที่เรียกกันว่า อรุณเทพบุตร ซึ่งถือเป็นพี่ชายของพญาครุฑ
ต่อมานางกัทรุและนางวินตาได้พนันกันว่าม้าที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เหล่าทวยเทพและอสูรกวนน้ำอมฤต
ที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่บนสวรรค์นั้นมีหางสีอะไรถ้าใครแพ้ก็ต้องเป็นข้ารับใช้ตลอดไป
นางวืนตาเลือกตอบว่าหางของม้านั้นเป็นสีขาว
ส่วนนางกัทรุนั้นได้ตอบว่าเป็นสีดําแต่จริงๆ แล้วนางกัทรุได้รู้แจ้งอยู่แล้วว่าหางของม้าเป็นสีขาวและนางกัทรุกลัวแพ้จึงได้คิดวางอุบายขึ้นโดยให้ลูกงูทั้ง1000
ตัวนั้นเข้าไปพันอยู่รอบๆ หางของม้าให้หางของม้าดูแลกลายเป็นสีดํา และเมื่อม้าตัวนั้นวิ่งมาถึงนางทั้ง
2 ก็เห็นหางของม้าเป็นสีดํา นางวินตา
เลยจําต้องยอมแพ้และกลายเป็นข้ารับใช้ของนางกัทรุ
ในขณะนั้นเองไข่ฟองที่
2 ของนางวินตาก็ได้ฟักตัวออกมา เมื่อแรกเกิด ร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจดฟ้า
ดวงตราเมื่อกระพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกใด บรรดาขุนเขาก็ตกใจต้องปลาดหนีไปพร้อมกับพระพาย
รัศมีพวยพุ่งออกมาจากกายสว่างไสวเป็นที่อัศจรรย์
มีลักษณะดั่งไฟไหม้ไปทั่วทั้งสี่ทิศ กระทําให้ทวยเทพต้องตกใจ
สําคัญว่าเป็นพระอัคนี ต่างพากันมาบูชา เพื่อขอความคุ้มครอง
หลังจากนั้นก็ได้ออกบินไปตามหานางวินตาผู้เป็นมารดาจนพบ นางวินตาจึงเล่าเรื่องที่ถูกนางกัทรุใช้กลโกงในการพนันจนต้องมาเป็นทาสรับใช้
พอทราบเรื่องเข้าก็ทำให้บุตรชายครึ่งนกของนางวินตา
รู้สึกโกรธแค้นนางกัทรุและนาคเป็นอันมาก
จึงทําให้บุตรชายครึ่งนกของนางวินตาเป็นศัตรูกับพวกนาคและงูกันมาตลอดเจอกันเมื่อไรเป็นต้องต่อสู้กัน
แต่นางวินตาก็ได้ร้องขอและได้ห้ามไว้ไม่ให้ไปทำอะไรกับฝ่ายนางกัทรุและเหล่านาคอีก
เพราะต้องการรักษาคำพูดและรักษาสัตย์ที่ได้ตกลงกันไว้นั้น
บุตรชายครึ่งนกของนางวินตาก็ยอมอยู่กับนางวินตาและยอมเป็นข้ารับใช้นางกัทรุและบรรดาลูกๆของนางคือนาคกับงู
1000 ตัวด้วย
ในที่สุดบุตรชายครึ่งนกของนางวินตาได้เข้าไปเจรจาขอแลกอิสรภาพจากนางกัทรุและเหล่านาคให้แก่มารดาของตน
นางกัทรุจึงได้ขอแลกกับน้ำอมฤตเป็นการแลกกกับอิสระภาพของนางวินตา
บุตรนางวินตาจึงบินไปหาน้ำอมฤตในทันที
ในระหว่างทางก็ได้พบกับฤาษีกัสปะเทพบิดรผู้เป็นบิดา ซึ่งได้แนะนำให้บุตรนางวินตาบินไปยังทะเลสาปแห่งหนึ่งและจับกินเต่ายักษ์และช้างที่กำลังสู้กันเพื่อเพิ่มพลังในระหว่างการเดินทางไปหานําอมฤต
บุตรนางวินตาจึงได้จับสัตว์ทั้งสองกินแล้วออกบินต่อไป
พอมาถึงต้นไทรต้นหนึ่งก็ได้แวะลงไปเกาะที่กิ่งต้นไทร ต้นไทรนี้มีฤาษี 4 ตนกำลังบำเพ็ญตบะอยู่
พอบินลงมาเกาะจึงทำให้กิ่งต้นไทรหัก
บุตรนางวินตาจึงจับกิ่งไม้นั้นไว้เพื่อไม่ให้ฤาษีทั้ง 4 ตนตกลงไป ฤาษีทั้ง 4 จึงเรียกบุตรนางวินตาว่า
"ครุฑ" แปลว่า "ผู้แบก" หรือผู้ซึ่งยกของหนักได้
บุตรของนางวินตาจึงได้ชื่อว่า "พญาครุฑ" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เมื่อข่าวเรื่องพญาครุฑจะมาขโมยน้ำอมฤตรู้ถึงพระอินทร์
พระอินทร์จึงสั่งเพิ่มเหล่าบรรดากำลังทหารสวรรค์ให้เข้มแข็ง
โดยชั้นนอกให้เหล่าเทวดาสวรรค์และทูตสวรรค์รักษาไว้
ให้หม้อน้ำอมฤตอยู่ตรงกลางกงจักรที่มีงูยักษ์ 2 ตัวหมุนกงจักรและจุดไฟล้อมรอบเอาไว้เพื่อป้องกันและขัดขวาง
เมื่อพญาครุฑเดินทางมาถึงก็ได้ต่อสู้กับบรรดาเหล่ากองทัพทหารสวรรค์อย่างดุเดือด
และก็ใช้ปีกกระพือลมพัดเหล่าทหารเทวดาสวรรค์จนแตกพ่าย
เหล่าบรรดาทหารสวรรค์ไม่สามารถต้านทานฤทธิ์เดชอํานาจของพญาครุฑได้จึงพ่ายแพ้และสูญสลายไปจนหมดสิ้น
แล้วจึงบินพุ่งลงไปอมน้ำในมหาสมุทรมาพ่นดับไฟที่ลุกอยู่ล้อมรอบกงจักรนั้นเสีย
และกินงูที่กำลังหมุนกงจักรอยู่นั้นอีกด้วย
แล้วจึงเข้าชิงนำน้ำอมฤตกลับมาไถ่ตัวมารดา
พระอินทร์จึงเข้าขัดขวางจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น
พระอินทร์ใช้สายฟ้าฟาดเข้าที่บริเวณปีกของพญาครุฑเข้าอย่างจังแต่สายฟ้าของพระอินทร์มิอาจทําอันตรายต่อพญาครุฑได้เลย
ในที่สุดพระอินทร์จึงยอมแพ้ต่อพญาครุฑ
และพญาครุฑจึงได้มอบขนปีกให้กับพระอินทร์หนึ่งเส้นเพื่อเป็นเกียรติแก่พระอินทร์
และนับจากนั้นมาพญาครุฑจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
"ท้าวสุบรรณ"แปลว่า"ขนวิเศษ"
เรื่องราวการรบครั้งนั้นได้เลื่องลือล่วงรู้ไปถึงสามโลกธาตุ
จนร้อนถึงพระนารายณ์ต้องลงมาช่วยปราบ
จนเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างพระนารายณ์และพญาครุฑ
ต่อสู้กันจนฟ้าลั่นแผ่นดินสะเทือนแต่ทั้งพระพระนารายณ์และพญาครุฑต่างก็ไม่มีใครแพ้ใครชนะ
ทั้งสองจึงยุติศึกและทำสัญญาเป็นไมตรีต่อกัน
โดยพญาครุฑสัญญาที่จะรับเป็นพาหนะให้กับพระนารายณ์ตลอดไปและเป็นธงครุฑพ่าห์สําหรับปักอยู่บนรถศึกของพระนารายณ์
ส่วนพระนารายณ์ก็ได้ให้พรความเป็นอมตะแก่พญาครุฑและไม่มีใครทำลายได้
เสร็จแล้วพญาครุฑจึงได้นำน้ำอมฤตไปไถ่ตัวนางวินตาผู้เป็นมารดาในเวลาต่อมา
ครุฑเป็นสัตว์กึ่งโอปปาติกะ
หรือกึ่งกายทิพย์กายสิทธิ์คล้าย ชาวลับแล และ พวกพญานาค
อยู่อีกมิติหนึ่งจากโลกของเรา
ผู้ที่สามารถจะพบเห็นพญาครุฑได้นั้นต้องเคยมีบุญร่วมกับเขามา
จึงจะสามารถรับรู้ถึงกันและกันได้
เหมือนกับผู้ที่สามารถติดต่อกับพญานาคได้เช่นกันล้วนต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนาต่อกันมาตั้งแต่อดีตกาลทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องสาธารณะที่จะรู้กันได้ทั่วกันไปเช่นสามัญ
เรื่องของพญาครุฑเป็นเรื่องราวที่มีความอัศจรรย์
โลดโผนมาก แต่คนทั่วไปไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าใดนัก
ความเป็นจริงแล้วเรื่องราวของพญาครุฑเป็นเรื่องที่น่าศึกษามากเพราะทางฮินดูเขานับถือครุฑว่าเป็นเทพเจ้าพระองค์หนึ่งเลยทีเดียว
แม้แต่ในไทยของเราเอง ทางไสยศาสตร์ก็ให้ความนับถือเกี่ยวกับครุฑนี้มาก
ดูอย่างตราประจําแผ่นดินเองก็มีลักษณะเป็น ครุฑ จึงน่าสนใจว่า ครุฑ
นั้นมีอานุภาพบางอย่างและน่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในอีกมิติหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น